30 ต.ค. เวลา 14:48 • ความคิดเห็น
เรื่อบราว ของอนัตตา ..เราลองไปอ่านเรื่องบท อนัตตลักขณะสูตร ที่เป็นบทหลักหนึ่ง ..ที่เค้าสวดจดจำกันมา มันเป็นเรื่องราวของจิต ที่มี ที่อาสัยขันธ์ห้า ..หากว่า จะทำจิต .ให้เป็นอนัตตา ไม่ยึดติด ในตัวตนเลย มันก็เรื่องราวที่ต้องละลายขันธ์ห้านั้นให้หมดจด ไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น ..ที่พระอรหันต์ ท่านก็ละลาย ไปจนกายนั้นเป็นแก้วเจียระไน ..นั่นคือ เรื่องราวของพระที่ท่านสะสมบุญกุศล ไปกระทำกันป่า จิตต้องมีปัญญาธรรม ถึงจะสามารถกระทำได้
แม้แต่อ่านพระสูตร แล้ว ก็ยังไม่สามารถ ทำจ้ตให้หลุดพ้นไปได้เลย ยังไงก็สวด จำๆไปก่อน ..จำไปให้รับรู้ว่า จะต้องไปทำอะไร เมื่อมีกายเป็นมนุษย์ ..หากไม่สะสมบุญกุศลบารมี มันก็ยิ่งยากนักที่จะละลายกรรม ละลายสังขารกรรม ที่ติดอยู่กับธาตุทั้งสี่ ที่มีอารมณ์ใหญ่ๆ ความโลภโกรธหลง ..ก็ยังใช้เค้าอยู่ มันจึงยากที่เข้าใจ แล้วก็ทำกายทำจิตไม่ได้เลย ไปสู่คำว่าอนัตตา ..จบสิ้นไม่ต้องมีกายมาเกิดแก่เจ็บตายอีก
แล้วหากกายนี้เป็นกายกรรม บุญกุศลบารมีไม่มี มันก็ไม่สามารถที่จะไปละลายกรรม ละลายขันธ์ห้าที่เป็นกรรม ไปจนถึงธาตุทั้งสี่ ..ก็ไม่สามรถกระทำได้ .. พอเค้าบอกว่า ให้นั่งนิ่งๆ จิตเฉยๆ ก็ทนทุกข์ทรมานไม่ได้แล้ว ..ทนนิ่งทำกายให้นิ่ง มั่งคง ..เป็นหุ่น เป็นตุ๊กตา ทำไม่ได้เลย แต่ก็มีผู้ที่ท่านสะสมบุญบารมีมา ท่านทำได้ ..จนกายนั้น บริสุทธิ์หมดจด มีพระท่านถามว่า อยากได้มั้ย กายแบบนี้ . อยากได้ ก็สร้างบุญกุศลบารมีขึ้นมา
เมื่อเราเป็นผู้ที่ เดินตามรอยของพระ ที่พาเราขึ้นบันไดแก้ว ป่ายปีนขึ้นเค้าพระสุเมร กายต้องเบา จิตก็ต้องเบา ..ปลดเปลื้องพันธการออกให้หมด นั่นก็คือ กรรม อารมณ์ต่างๆก็เป็นกรรม ความยึดถือต่างๆที่เป็นกรรม เราจะเดินตามทางของพระ .เดินไม่ดี .อารมณ์ของเรา นั่นแหละ จะฉุดกระฉากลื่นลงไป
เพราะมันเป็นเรื่องราวของจิต จิตใครจิตมัน ..ต้องพึ่งตัวเอง พระท่านก็เพียงบอกชี้แนะให้เท่านั้น ให้หมั่นฝึกหัด กระทำขึ้นมา ตามที่ท่านชี้ทางให้ ..พูดบอกสอนให้ ให้ไปใคร่ครวญพิจารณา ..ว่าทางนี้ สามารถยุติการเกิดได้ เราต้องพิจารณาเอง ทำขึ้นเอง แล้วมันก็เป็นเรื่องราวของคำว่า ปัจจัตตังของจิตดวงนั้นเอง
โฆษณา