31 ต.ค. เวลา 13:00 • หนังสือ

สวัสดีโชคชะตา เจ้าเดินทางมายังไงกันนะ?

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากมุมมองและความรู้สึกส่วนตัวของผมเองที่ช่วงหนึ่งของชีวิตผมได้ผ่านการพยายามทำทุกอย่าง ทำทุกทาง ทำทุกสิ่ง คว้าทุกโอกาส ที่เข้ามาโดยไม่ได้ลังเล สับสน คิดมากอะไรเลย แค่ตั้งหน้าตั้งตาทำตามความฝันไปเรื่อยๆ ทำทุกอย่างแบบบ้าคลั่ง หนังหน่วง ไม่สนสุขภาพ ร่างกาย ฐานะทางการเงิน ไม่มีแผนสำรอง ต้องหยิบยืมเงินเบียดเบียนพ่อ แม่ คู่ชีวิต ในบางช่วง จนเกือบจะเสียทุกอย่างไปแม้แต่ชีวิตตัวเอง
ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในแนวทางแห่งความสำเร็จที่ได้รับรู้ รับฟังและเรียนรู้มาตามบรรทัดฐานทางชุดความคิดที่ว่า “ต้องพยายามเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ” และ “หากหยุดพยายาม” หรือ “ล้มเหลว” เมื่อไหร่ แม้ว่าจะทำอะไรมากมากแค่ไหนสุดท้ายบทสรุปคือ “เรายังพยายามไม่มากพอ”
แม้ผมจะมีความสำเร็จเข้ามาในชีวิตอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เข้ามานั้นบางอย่างมันกลายเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มุ่งมั่น ไม่ได้คาดคิดที่จะทำมาก่อนว่ามันจะกลายมาเป็นความสำเร็จหนึ่งในชีวิตของผม มันเป็นสิ่งที่ผมทำไปเรื่อยๆ แบบไม่กดดัน ไม่มีความตั้งใจ ไม่มีจุดมุ่งหมาย ออกแนวว่าทำไปตามเรื่องตามราวที่ผมชอบเท่านั้น ความสำเร็จเล็กๆ สิ่งนี้ของผมคือการสร้าง Facebook Page ที่ชื่อ
“Hotel Man ยอดมนุษย์โรงแรม” ที่ปัจจุบัน (ถ้าผมยังไม่หมดไฟและทำมันต่อไปนะ ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่หมดสักที 555) มีผู้ติดตามกว่า 130,000 follower
จากที่เริ่มแรกที่ผมเขียนเพจนี้ขึ้นมามีผู้ติดตามเพียงแค่ 39 follower ในช่วงแรกของการทำเพจ ซึ่งหลายครั้งผมก็เหนื่อย ล้า ไม่มีอะไรจะเขียน ไม่อยากเขียน และอยากจะเลิกทำเพจแบบดื้อๆ แต่หยุดได้ไม่นานสุดท้ายก็ต้องกลับมาทำเพจต่อเหมือนเดิม ด้วยเพราะก็ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ลุกขึ้นมาคิด Content เขียนเรื่องราวและทำช่วงตอนใหม่ๆ ให้เพจมีความหลากหลายขึ้น มันทำไปโดยไม่รู้ตัวถึงตอนนี้ปี 2023 เพจของผมเดินทางมาจนเข้าปีที่ 12 เรียบร้อยแล้วเริ่มจากวันแรกที่คิดจะทำและเขียนเรื่องราวทิ้งไว้ก่อนที่จะนำมาใส่ใน Facebook
สำหรับบางคนเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ดูเหมือนเป็นความสำเร็จใหญ่โตอะไรนะครับ แต่สำหรับผมการที่ทำเพจแล้วมีคนติดตาม ไม่ได้ซื้อยอดผู้ติดตามอะไร แล้วมีคนมากถึง 1 แสนกว่าคนติดตามและชอบในสิ่งที่เราทำผมคิดว่ามันก็ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งในชีวิตของผมได้นะครับและมันเชื่อมโยงกับเรื่องโชคชะตาที่ผมจะเล่าในหนังสือเล่มนี้ได้ด้วยเพราะนอกจากที่ผมจะประสบความสำเร็จบ้างจากการทำเพจ
ผมยังได้มีไอเดียความคิดในการนำไปทำช่อง YouTube ชื่อว่า “Hotel Man Travel” ที่เป็นช่องที่ใช้แนะนำการสถานที่ท่องเที่ยว พาไปรีวิวโรงแรมต่างๆ แบบ Deep Detail ละเอียดทุกซอกทุกมุม ปัจจุบันปี 2023 นี้มียอด Subscribe 1.4 พันกว่าคนแล้ว อาจจะดูน้อยนะครับแต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมทำไปแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีทุนและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองลำบากยากเย็นอะไรในการทำสิ่งนี้มากมาย ผมถือว่ายอดผู้ติดตามช่องแตะหลักพันนี่ก็ดีใจมากๆ แล้ว สิ่งที่เชื่อมโยงต่อมาคือ
“ชื่อเสียงและการยอมรับในความเป็นผู้รู้ในเรื่องโรงแรม” จากการทำเพจผมมีโอกาสได้ไปบรรยายให้น้องๆ นักศึกษาสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว ในหลายมหาวิทยาลัยได้รับฟัง
มีโอกาสได้เขียน Column ลงในนิตยสารธุรกิจเกี่ยวกับการโรงแรมและการทำธุรกิจ มีโอกาสได้เปิดบริษัทรับบริหารโรงแรมและมีงานแรกที่ผมภูมิใจกับการสร้างและบริหารงาน ปลุกปั้นโรงแรม Amethyst Hotel Pattaya ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่มีชื่อเสียงและมาตรฐานการบริการ มีระบบการทำงานที่ดีอีกโรงแรมหนึ่งในเมืองพัทยา ด้วยความเชื่อมั่นในตัวผมของ Owner ซึ่งเป็นหนึ่งในแฟนเพจตัวยงของผม เชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมทำไปเรื่อยๆ ตามโชคชะตา ก่อนหน้านั้น Owner พิจารณาหลายเจ้าเหมือนกันครับจนสรุปมาเป็นตัวผมที่ได้งานนี้ไป
นอกจากนี้เพจนี้ยังสร้างรายได้ให้ผมในมุมของการลงโฆษณาที่มีผู้ว่าจ้างเป็น Brand สินค้าและบริการระดับ A-List เป็นบริษัทชั้นนำที่เห็นความชัดเจนในกลุ่มผู้ติดตามของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้รับทุกอย่างเพราะด้วยความซื่อสัตย์กับผู้ติดตามของผมในเพจ ผมจึงมีกฏข้อหนึ่งว่า “ถ้าจะมาลงโฆษณาเพจผมต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการโรงแรมและการท่องเที่ยวเท่านั้น”
หลุดไปจากนี้นั่นคือผมต้องคิดดูก่อนว่าจะให้ลงไหม? เพราะผมมองว่าผู้ติดตามผมสนใจเรื่องเกี่ยวกับโรงแรมเขาเลยเข้ามาถ้าเราเอาสิ่งที่มันไม่เกี่ยวข้องพวกโฆษณาเกี่ยวกับการพนัน Spam อะไรที่ไม่ดีมาลง เขาจะหมดความเชื่อถือในตัวผม ซึ่งผมไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการได้รับเชิญให้ไปพักยังโรงแรมต่างๆ เพื่อถ่ายทำ Review ในเพจและช่องของผมอีกด้วย ถือว่าเป็นอะไรที่มันตามๆ กันมาแบบผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้
ถามว่าผมพยายามมากมายอย่างหนัก อย่าบ้าคลั่ง ทุ่มเทจนหมดหน้าตักเลยไหมในการจะทำให้ทั้งสองอย่างนั้นประสบความสำเร็จแบบนี้? ผมตอบได้แบบไม่อายเลยครับว่าผมไม่ได้รู้สึกว่าพยายามอย่างหนักหน่วงเจียนตายมากมายอะไรขนาดนั้นเลย ผมแค่รู้สึกว่า “มันมีอะไรมาผลักดันให้ผมต้องทำ” บางวันผมอาจจะเขียนเพจด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน
แต่บางวันผมก็ต้องต่อสู้กับตัวเองในการดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาเขียนเพจเพราะมีผู้อ่านรอเรื่องราวสำหรับวันนั้นอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ต้องทำแบบนี้ ผมเคยถามตัวเองมาตลอดแม้แต่คุยกับคู่ชีวิตของผมว่า “เราทำอะไรอยู่เนี่ย” เพราะ บางช่วงเวลาที่ชีวิตของผมเจอปัญหาและอุปสรรค มันอดคิดไม่ได้ว่า
“ทำไมเราไม่ไปสนใจทำอย่างอื่นให้มันมากกว่านี้ จะเสียเวลามานั่งทำเรื่องนี้ทำไม” ภรรยาคู่ชีวิตผม เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่า “ทำต่อไปเถอะเดี๋ยวก็ดีเอง” สรุปได้ว่ามันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้ผมทิ้งสิ่งนี้ไปไม่ได้ละมั้ง ผมพยายามนะแต่ไม่ได้ทุ่มเทแบบบ้าคลั่งหนักหน่วงเจียนตายเหมือนที่สังคมตีบรรทัดฐานในเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จอะไรขนาดนั้น
ที่บอกว่าผมไม่ได้พยายามอะไรมากมายอย่างหนักหน่วงเจียนตายอะไร มันเป็นเพราะผมแค่เขียนทุกอย่างในเพจออกมาจากประสบการณ์ในการทำงานโรงแรมกว่า 18 ปี ณ ถึงปัจจุบันนี้และประสบการณ์ตรงนี้น่าจะยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากผมไม่หยุดทำงานโรงแรมไปเสียก่อน ถ้าจะพูดถึงการพยายามอย่างหนักในการทำเพจนี้จนประสบความสำเร็จมันคงเป็นเรื่องของการที่ผมได้มาซึ่งเรื่องราวที่จะนำมาเขียนมากกว่า เป็นความพยายามในการทำงานตั้งแต่เป็นนักศึกษาฝึกงานโรงแรม
ไต่เต้ามาเรื่อยๆ หลากหลายตำแหน่ง ทั้งพนักงานต้อนรับ Butler ผู้ช่วยผู้จัดการแผนก ผู้จัดการแผนก ผู้จัดการทั่วไป จนถึงจุดสูงสุดคือเป็นเจ้าของบริษัทรับบริหารโรงแรมเสียมากกว่า
บางทีการพยายามทุ่มเทมากๆ จนเหนื่อย จนท้อ จนถึงจุดหนึ่งที่ลังเลว่าจะหยุดดีไหม? หรือ ไปต่อดี? ถ้าหยุดก็กลัวถูกบรรทัดฐานชุดความคิดในความสำเร็จตัดสินว่า “พยายามไม่พอ” หรือ “ทำอะไรจับจดไม่จริงจัง ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน” หรือเปล่า?
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ผมอยากนำเสนอในหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองและชุดความคิดที่ผมอนุมานจากสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมในมุมส่วนตัวผมคิดว่า “บางครั้งการพยายามแบบเดินทางสายกลางเพื่อหาทางหนีทีไล่ไว้ว่า “ถ้าสิ่งที่เราทำมันไม่สำเร็จเราจะทำยังไง? จะไปทางไหนต่อ?” มันก็ไม่เสียหายหรือเป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนะครับแม้คนจะมองว่า…เราพยายามไม่สุดก็ตาม…
เพราะในชีวิตจริงการพยายามแบบทุ่มเทหมดหน้าตักแม้เราจะได้เห็นในบางตัวอย่างของคนที่สำรเร็จมาแล้วว่าเขาตัดสินใจถูกและประสบความสำเร็จในชีวิตได้จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้แบบเขา เนื่องจากไม่มีใครรู้อนาคต ยิ่งถ้าสิ่งที่เราทำและต้องพยายามนั้นเราทุ่มเทจนกระทบกับคนรอบข้างอย่างพ่อ แม่ ภรรยา ลูกๆ แล้วด้วย เราต้องคิดให้ดีถึงข้อจำกัดนี้ให้มากๆ
จุดนี้บางคนก็อาจมองและตราหน้าเราได้ว่า “ลังเล พยายามไม่สุด” แต่อีกมุมที่เราต้องคิดคือ “ต้นทุนชีวิตคนไม่เหมือนกันถ้าเราพลาดพวกเขาจะทำอย่างไร?” เพราะถึงเวลานั้นที่เราลำบากไม่มีใครจะมาสนใจและใส่ใจเรานอกจากตัวเราเองและคนรอบข้าง
สิงที่ผมอยากจะบอกในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้สนับสนุนให้ผู้อ่านนั่งเล่นนอนเล่น นั่งกินนอนกิน เรื่อยเปื่อยกับชีวิต แล้วหวังให้โชคชะตาพาไปอย่างเดียวนะคัรบ แต่ในความเป็นจริงผมอยากจะให้กำลังใจมากกว่าว่าในบางครั้งถ้าคุณพยายามจนถึงที่สุดแล้วแต่มันไม่สำเร็จซะที บางครั้งลองใชัชีวิตแบบ “ให้โชคชะตาพาไป ให้มันทำงานของมันกับชีวิตเราบ้าง” มันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะครับ
เพราะในความพยายามที่หนักหน่วงที่เราเชื่อว่า “สมันเป็นหนทางสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่สิ่งที่เรา “เกิดมาเพื่อที่จะเป็น (Born to be)” แต่เราอาจมีหนทางอื่นที่โชคชะตากำหนดมาแล้วว่า “เราต้องเป็น (Must be” รอเราอยู่ก็ได้ เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาก็เท่าน้ั้น
“คนเราฝืนโชคชะตาไม่ได้ถ้ามันกำหนดให้เราเป็นอะไร เราอาจจะต้องเป็นไปตามที่มันกำหนด ซึ่งในบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ชอบมันหรอก แต่มันอาจจะดีกว่าที่เราทำอยู่ก็ได้”
และที่เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายคนต้องพยายามอย่างหนักถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาพยายามในสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาให้เขาเป็น พยายามถูกเรื่องและพวกเขาโชคดีที่เจอสิ่งที่ตัวเองชอบและเกิดมาเพื่อจะเป็น ซึ่งเราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีล่ะเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาชอบ พวกเขาหลงใหล และทุ่มเทที่จะทำ ก็ในเมื่อโลกนี้มีหลายสิ่ง หลายอย่าง หลายเรื่องให้พวกเขาทำ แต่ทำไมกลับมาสนใจเป็นพิเศษและพร้อมจะทุ่มเทไปกับบางเรื่อง? บางสิ่ง? สิ่งของบางชิ้น? สินค้าบางชนิด? บริการบางอย่าง? มากเป็นพิเศษ
พร้อมกับความหลงใหล ทุ่มเท ไม่สนหน้าสนหลังที่จะทำและพัฒนาในสิ่งที่ตนเองชอบ แม้จะต้องผ่านพ้นอะไรมากมายแต่สุดท้ายแล้วแล้วดันประสบความสำเร็จซะอย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงเลือกเฉพาะสิ่งเหล่านั้นทั้งๆ ที่มีสิ่งอื่นอีกเป็นร้อย เป็นพัน เป็นแสนเป็นล้านให้เลือกทำ???...
หรือบางคนก็มีความสนใจในแนวคิดหรืออุดมการณ์บางอย่างทางสังคมและปรัชญาจนเป็นที่มาของการที่พวกเขาทั้งหลายนั้นกลายเป็นบุคคลชั้นนำที่มีอิทธิพลทางความคิด เป็นบุคคลสำคัญของโลกได้
ย้ำอีกครั้งนะครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้ทุกคนหยุดพยายามเพราะถ้าคุณไม่ได้โชคดีประเภทที่ว่าเป็นคนที่เกิดมาแล้วโชคชะตาทำงานกับชีวิตให้คุณได้เจอสิ่งที่คุณ Born to be ได้ทันทีแบบไม่ต้องไปพยายาม ไปลองผิดลองถูกอะไรหลายๆ อย่างจนทำให้ต้นทุนชีวิตคุณลดลงเรื่อยๆ จนติดลบก่อนที่จะได้เจอสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาให้คุณ เป็นคนที่
“ไม่ต้องพยายามอะไรเลยก็สำเร็จได้เพราะอยู่ดีๆ ก็จะมีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้โดยไม่รู้ตัว” ยังไงซะ ความพยายามในการตามหาสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อจะเป็นและลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆมันก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับซึ่งผมเองก็ยังเชื่ออย่างนั้นแม้ในใจจะยังคงมีแนวคิดที่ไม่เคยจางให้ไปว่า
“โชคชะตาเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะนำพาความสำเร็จมาให้เราได้”
“คนเราเกิดมาเพื่อจะเป็นอะไรสักอย่างตามเส้นทางของตัวเองซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าคืออะไร? จนกว่าเราจะไปถึงมัน”
โฆษณา