1 พ.ย. เวลา 12:29 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

The 6 biggest questions about adult ADHD, answered by a neuroscientist

คำถามที่ใหญ่ที่สุด 6 ข้อ เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ ตอบโดยนักประสาทวิทยา
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นได้เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ แต่เราจำเป็นต้องปรับปรุงวิธีที่เราดูและปฏิบัติต่อโรคนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากว่าคุณให้ความสนใจเพียงเล็กน้อย คุณจะสังเกตเห็นว่า ผู้ใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไฮเปอร์ ซึ่งมักมีอาการไขว้เขวและวิตกกังวลง่าย ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า โรคสมาธิสั้น หรือ เอดีเอชดี ADHD ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
แม้ว่าบางคนจะตำหนิโรคสมาธิสั้น ว่าเกิดจากโรงเรียนและการวิจัย แต่คนอื่นๆ ก็ตำหนิโรคสมาธิสั้นว่า เกิดจากโทรศัพท์และหน้าจอ บางคนบอกว่าโรคสมาธิสั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย โดยบอกว่ามันเป็นเพียงแฟชั่น หรือการลอกเลียนพฤติกรรมตามๆ กันไป หรือบางคนมองว่า "ผู้คนเหล่านี้มีลักษณะเช่นนี้ขึ้นมา เพราะอยากให้ผู้อื่นมาสนใจ หรือผู้คนเหล่านี้มีลักษณะเสียสมาธิง่ายเหล่านี้ เป็นเพราะว่าความเกียจคร้านของเขา"
แม้ว่ามุมมองดังที่กล่าวมา จะมีความโดดเด่นที่ไม่สมควรกับเหตุผลนัก แต่หลักฐานจากการวิจัย ได้บอกเล่าเรื่องราว ที่แตกต่างออกไป
การวิจัยบางชิ้นแนะนำว่า นับตั้งแต่ปี 2000 การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ ในประเทศสหราชอาณาจักร ได้เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า ส่วนงานวิจัยอื่นๆ ระบุว่า การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น 7 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ของปริมาณยารักษาโรคสมาธิสั้น ที่สั่งจ่ายระหว่างปี 2021 ถึง 2022 เพียงอย่างเดียว
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เช่นกัน น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่พบว่า ผู้ใหญ่ได้รับยารักษาโรคสมาธิสั้นมากกว่าเด็ก
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะดูตัวเลขหรือสถิติใดก็ตาม เป็นการยากที่จะเพิกเฉยว่า การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น กำลังเพิ่มสูงขึ้น
แท้จริงแล้ว หลักฐานการวิจัยล่าสุดระบุว่า ประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 ของประชากรทั่วโลก เป็นโรคสมาธิสั้น แม้จะประมาณการแบบต่ำที่สุดแล้ว นั่นก็หมายความว่า มีคนมากกว่า 240 ล้านคน ที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยมีจำนวนมากกว่า 2 ล้านคนในประเทศสหราชอาณาจักรเพียงประเทศเดียว
ขอย้ำอีกครั้งว่า นั่นเป็นเพียงการประมาณการต่ำที่สุดเท่านั้น ผลการวิจัยบางชิ้นระบุว่า 1 ใน 10 ของคนหนุ่มสาวในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นโรคสมาธิสั้น แม้ว่าทั้งหมดนี้โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ ยังคงไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างกว้างขวาง และแนวคิดที่ว่านี้ ได้เรียกร้องให้ผู้คนสนใจโรคนี้แพร่หลายมากขึ้น โดยที่ส่วนใหญ่ไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง จนถึงขณะนี้ มีหนังสือเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นที่มีชื่อว่า นี่ไม่ใช่เทรนด์ It's Not a Bloody Trend โดยผู้ประพันธ์คือ บราวน์ Kat Brown
ทำไม อาจเป็นเพราะความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นโดยเฉพาะที่เกิดกับผู้ใหญ่ ไม่เป็นที่ต้องการมากนัก นี่คือความเป็นจริงของชีวิตของคนที่มีสมาธิสั้น ทั้งแง่มุมทางด้านวิทยาศาสตร์ และจากคนบางคน ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่
อะไรคือ 'สาเหตุ' โรคสมาธิสั้น
ในระดับพื้นฐานที่สุด คนส่วนใหญ่ อาจได้รับข้อมูลสาเหตุของโรคสมาธิสั้น ผิด
เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร ยังไงก็ไม่ใช่
เช่นเดียวกับโรคเกี่ยวกับสมองส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว ที่เราจะแยกแยะได้ง่าย จากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่แท้จริงของโรคสมาธิสั้นนั้น มีอยู่มากมายและมักจะเกี่ยวพันกัน
การวิจัยจำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า ในเด็กและวัยรุ่นที่เป็นโรคสมาธิสั้น เปลือกสมองชั้นคอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของสมอง ซึ่งเป็นบริเวณที่กระบวนการรับรู้ที่สำคัญเกิดขึ้นที่นี่ พบว่าเปลือกสมองชั้นคอร์เท็กซ์ของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้น จะบางกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติทั่วไป เปลือกสมองชั้นคอร์เท็กซ์ที่บาง ย่อมหมายถึงว่า มีทรัพยากรทางระบบประสาทน้อยลง ในการจัดการงานรับรู้ที่มีความสลับซับซ้อน
การวิจัยอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่า ภาวะผอมบางของเปลือกสมองชั้นคอร์เท็กซ์นี้ บางเป็นพิเศษในพื้นที่ของสมอง เช่น ที่บริเวณเปลือกสมองชั้นคอร์เท็กซ์ส่วนหน้า และที่บริเวณด้านข้างขม่อม ซึ่งสองส่วนนี้ เป็นบริเวณของสมองที่เกี่ยวข้องอย่างมากในกระบวนการต่างๆ เช่น การควบคุมตนเอง การวางแผนล่วงหน้า การเคลื่อนไหว และปฏิกิริยาทางอารมณ์
การพัฒนาของเนื้อสมองส่วนขาว ซึ่งประกอบด้วยทางเดินประสาทที่เชื่อมโยงบริเวณสมองเข้าด้วยกัน ช่วยให้สามารถสื่อสารได้ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกันในผู้ป่วยสมาธิสั้น โดยการวิจัยบางชิ้นพบว่า มีการเพิ่มของเนื้อสมองส่วนสีขาวมากขึ้น
การเพิ่มของเนื้อสมองส่วนสีขาวมากขึ้น ฟังดูเหมือนว่าจะดี แต่เนื้อสมองส่วนขาวที่เพิ่มมากเกินไป อาจทำให้เกิด 'เนื้อสมองส่วนสีขาวไปรบกวน' ทางระบบประสาทได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ กระบวนการรับรู้ ที่ทำหน้าที่สนับสนุนจุดรวมความสนใจ สมาธิ และการควบคุม ได้บกพร่องไป ส่วนสำคัญสำหรับการพัฒนาความสามารถทางปัญญาที่ซับซ้อน เช่น จุดรวมความสนใจและความฉลาด ที่บกพร่องไปเช่นนี้ ทำให้ขาดการเชื่อมต่อของส่วนที่จำเป็น เพื่อใช้สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพทางระบบประสาท
เชื่อกันว่า การขาดการเชื่อมต่อของส่วนที่จำเป็นของระบบประสาทนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก และโรคทางระบบประสาทประเภทอื่นๆ
อีกแง่มุมหนึ่งของโรคสมาธิสั้น อาจเป็นความสามารถระบบประสาทบกพร่อง ในช่วงของการสลับระหว่างสถานะเริ่มต้นของสมอง และสถานะงานของสมอง สภาวะเริ่มต้นของสมองคือ สภาวะเมื่อสมองของคุณไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษ จิตใจของคุณจึงล่องลอย และไตร่ตรองสิ่งต่างๆ
ส่วนสถานะงานของสมองคือ เมื่อสมองคุณมีงานที่ต้องทำงาน สมองคุณจึงมีจุดรวมความสนใจ และมีสมาธิ
หากคุณพยายามหยุดความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน เมื่อคุณตั้งใจจะมีจุดรวมความสนใจ และมีสมาธิ จึงจะทำให้การทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้ อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ในสมอง
โรคสมาธิสั้น เป็นโรคกรรมพันธุ์ สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ คุณได้รับโรคนี้มาจากพ่อแม่ของคุณ หลักฐานบ่งชี้ว่าความสามารถในการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของ โรคสมาธิสั้น สูงถึงร้อยละ 80 ซึ่งเทียบได้กับลักษณะทางพันธุกรรมอื่นๆ ที่มีการถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก ดังที่เราเห็นและคุ้นเคย เช่น ความสูง หรือสติปัญญา
แม้ว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมภายนอกบางอย่าง จะทำให้เกิดกับโรคสมาธิสั้นได้เช่นกัน เช่น แม่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์หรือมารดาคลอดบุตรยาก โดยสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในครรภ์ หลักฐานบ่งชี้ว่า พันธุกรรมเป็นสาเหตุหลักของโรคสมาธิสั้น ส่วนใหญ่โรคนี้มาจากธรรมชาติคือ ถ่ายทอดมาจากกรรมพันธ์ มากกว่าจะมาจากการเลี้ยงดูหรือสภาพแวดล้อม
ไม่ได้มียีนที่เฉพาะเจาะจงของโรคสมาธิสั้น ปัจจุบันพบว่ามียีนถึง 76 ยีน ที่มีส่วนทำให้เป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก
น่าเสียดาย ปัจจัยมากมายเหล่านี้ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น จึงเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะระบุให้ชัดเจนได้ว่าเป็นปัจจัยใด ปัจจัยเหล่านี้ ก็สามารถแสดงออกมาได้หลากหลายวิธี เป็นผลให้มีเกณฑ์การวินิจฉัยที่แตกต่างกันมากมาย โรคสมาธิสั้น อาจมีหลากหลายรูปแบบ
คุณจะเห็นว่าโรคออทิสติก สามารถแสดงออกมาได้หลากหลายวิธี โรคสมาธิสั้น ก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้น แม้ว่าเราจะไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ชัดว่า สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร สิ่งที่แน่นอนคือ โรคนี้มีความหลากหลายในการแสดงออก
โรคสมาธิสั้น เป็นปัญหาของเด็กหรือไม่
คนส่วนใหญ่คิดว่า โรคสมาธิสั้น เป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเด็กโดยเฉพาะ แต่สิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่ ในบางแง่คุณสามารถยกเหตุผลได้ว่าเป็นเช่นนั้น โรคสมาธิสั้น จัดว่าเป็นความผิดปกติของพัฒนาการ ซึ่งหมายความว่า จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อบุคคลมีพัฒนาการในช่วงวัยเด็ก
ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจและแนวทางของเราในการรักษาโรคสมาธิสั้น จึงได้รับอิทธิพลอย่างมาก จากการแสดงออกในวัยเด็ก แท้จริงแล้วอักษร 'H' ใน ADHD ย่อมาจาก ไฮเปอร์ ซึ่งเป็นการแสดงออกภายนอก ซึ่งการแสดงออกจะค่อยๆ ลดลงหรือหายไปในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคสมาธิสั้น
โดยพื้นฐานแล้ว โรคสมาธิสั้นมักจะ "มองเห็นได้ชัดเจน" ในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่จากพฤติกรรมของเด็กที่เปิดเผย นอกจากนี้โรคสมาธิสั้น ยังมักเกิดขึ้นร่วมกับโรคของการพัฒนาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่น โรคผิดปกติทางด้านการอ่าน และการเรียนรู้ภาษา โรคสมองกับกล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน ทำให้มีปัญหาด้านการสั่งการในการพูด หรือทำกิจกรรมต่างๆ และโรคลมบ้าหมู
โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ มักมีลักษณะแตกต่างกันมาก ลักษณะอยู่ไม่นิ่งหรือยุกยิกอาจลดลง แต่การไม่มีความตั้งใจ เช่น ความยากลำบากในการมีสมาธิ และไม่มีจุดรวมความสนใจ จะยังคงมีไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะยังคงเป็นปัญหาที่ใหญ่ แต่ถ้าดูจากภายนอกแล้ว ในผู้ใหญ่โรคนี้จะมองเห็นได้น้อยกว่าในเด็กมาก
คนที่เป็นไฮเปอร์หรืออยู่ไม่นิ่งตลอดเวลา มักจะทำลายสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว และรบกวนผู้คนที่อยู่ภายในสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย ทำให้สมาธิผู้อื่นที่อยู่รอบข้างลดน้อยลง สมาธิที่น้อยลง ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ผลที่ตามมาจะไม่เสียหายนัก แต่การไม่มีสมาธิในขณะขับรถอาจส่งผลเสียตามมาได้
โรคสมาธิสั้น ในผู้ใหญ่มักมีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่างเช่นกัน แต่แทนที่จะเป็นปัญหาด้านพัฒนาการทางระบบประสาท ผู้ใหญ่มักจะเป็นโรคสุขภาพจิตที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และการใช้สารเสพติด
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา และสามารถระบุตัวตนได้ง่ายกว่าการที่จะไปวินิจฉัยโรค โรคสมาธิสั้นในวัยผู้ใหญ่ โรคสุขภาพจิตที่เราคุ้นเคยเหล่านี้ สามารถจะปิดบังโรคสมาธิสั้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมักนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดเป็นประจำ ในลักษณะเดียวกับที่ผู้หญิงจำนวนมาก ที่เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มักได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคลำไส้แปรปรวน หรือโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ
ดังนั้น ผู้ใหญ่จำนวนมากที่มีประวัติปัญหาสุขภาพจิต จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น "อย่างกะทันหัน" แม้ว่าโรคนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ตาม
เหตุใดจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่าง โรคสมาธิสั้น ในเด็กและในผู้ใหญ่ ถึงขนาดที่บางคนให้เหตุผลว่า พวกเขาควรได้รับการรักษาเหมือนเป็นโรคที่แตกต่างกัน
โรคสมาธิสั้น อาจเป็นความโรคของพัฒนาการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การพัฒนาสมองจะไม่เกิดขึ้น มันเกิดการพัฒนาการของสมอง โดยมีกระบวนการเจริญเติบโตของสมองตามปกติ ที่ส่งผลให้ผู้ที่มีอายุมากขึ้น มีการประสานงานกันมากขึ้น มีการควบคุมตนเองดีขึ้น และการควบคุมอารมณ์ดีขึ้น ซึ่งตามหลักตรรกะแล้ว อาการโรคสมาธิสั้น ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ก็จะบรรเทาลงในที่สุด
แต่ถ้าการพัฒนาสมองโดยทั่วไป เป็นเหมือนกับการวิ่งข้ามภูมิประเทศที่ทุรกันดาร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยาวนานและลำบากต่อผู้วิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ดีต่อสุขภาพ การเป็นโรคสมาธิสั้น และพัฒนาขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้งานได้ ก็เหมือนกับการวิ่งข้ามภูมิประเทศโดยสะพายเป้ที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ทำได้ แต่ว่าคุณจะไปได้ไม่เร็ว และคุณจะเหนื่อยและหมดแรงไปกับกระบวนการนี้
ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคสมาธิสั้นจำนวนมากรู้เรื่องนี้ดี และตระหนักดีว่า ชีวิตของพวกเขาจะง่ายขึ้นได้ขนาดไหน หากพวกเขาได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการรักษา และได้รับการปฏิบัติและปรับตัวที่เหมาะสม หรือแม้แต่เพียงรับรู้ถึงความผิดปกติของพวกเขา
นี่คือมุมมองของ มิทเชล Dan Mitchell นักเขียน เจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ นักวิจัยระดับปริญญาเอก ในสาขาวิชาตำนานและคติชาวบ้าน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคสมาธิสั้น เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เขาบอกว่า การวินิจฉัยผิดพลาด และปัญหาทั้งหมดที่เขาต้องเผชิญในวัยเด็ก มาถึงตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อรู้ว่าปัญหาทั้งหมดที่เขาต้องเผชิญในวัยเด็กเหล่านี้ สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยความช่วยเหลือที่ถูกต้อง
“ความรู้สึกที่ว่า ‘ถ้าเพียงแต่ผมรู้’ นั้นรุนแรงขึ้นมากกว่าการทำอะไรผิดๆ ทั่วๆ ไป ผมก็ได้แต่คิดถึง ความสัมพันธ์และโอกาสทางการศึกษาของผมในอดีตที่ได้ขาดหายไป”
และมันก็สมเหตุสมผล ที่ผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้น ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษา จะมีชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้น เมื่อคุณพิจารณาว่า สมองสามารถใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดเพียงใด ต้องการสมาธิและสมาธิเพียงใด และความเครียดมีบทบาทใหญ่เพียงใดในปัญหาสุขภาพจิต การใช้ชีวิตอยู่กับโรคสมาธิสั้น และการปรับตัวให้เข้ากับโลกของทางระบบประสาทนั้นเป็นความเครียดทางจิตใจอย่างมาก
ความจริงที่ว่า ตอนนี้เราเพิ่งเข้าใจโรคนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้โรคนี้ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ลดน้อยลงเลย
ผู้หญิงสามารถเป็นโรค โรคสมาธิสั้น ได้หรือไม่
แม้ว่าเด็กจะเกี่ยวข้องกับ โรคสมาธิสั้น มากกว่า แต่เราอาจมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ และกล่าวว่า โรคสมาธิสั้น มักเกี่ยวข้องกับเด็กผู้ชายที่ประพฤติตัวไม่ดีและไร้ระเบียบ
อัตราส่วนระหว่างชายและหญิงที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีตั้งแต่ 2:1 จนถึง 5:1 แต่ในกลุ่มเด็กทางคลินิกที่ได้รับการรักษาอาการสมาธิสั้น พบว่ามีเด็กผู้ชายมีมากกว่าเด็กหญิงเกือบ 10:1 คำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ความจริงที่ว่าโรคสมาธิสั้น ในวัยเด็ก ถูกระบุจากพฤติกรรมก่อกวนและอยู่ไม่นิ่ง
และเด็กผู้ชายมักจะแสดงลักษณะเหล่านี้อยู่เสมอ โรคสมาธิสั้นในเด็กผู้หญิง มีแนวโน้มที่จะแสดงออกเช่น ไม่ตั้งใจ ความสามารถในการเพ่งความสนใจและ/หรือคิดสิ่งต่างๆ ลดลง มักจะนำไปสู่ผลการเรียนที่ไม่ดีแต่ก็ไม่เสมอไป ทำลายความภาคภูมิใจในตนเอง และปัญหาอื่น ๆ แต่ในเด็กผู้หญิง ก็รบกวนสภาพแวดล้อมรอบตัวน้อยกว่าเด็กผู้ชายมาก
แพร์รอตต์ Eluned Parrott นักวิจัยโรคสมาธิสั้นและออทิสติก ชี้ให้เห็นว่า การประเมินโรคสมาธิสั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่โรงเรียน และโรงเรียนก็เสนอแนะเด็กที่ก่อกวนมากที่สุด
“นักเรียนผู้หญิงที่ดิ้นรนหรือมีความวิตกกังวลเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็น 'ปกติ' อย่างที่พวกเขาพูดไว้ ก็จะไม่เป็นปัญหา จนกว่าจะมีเด็กหญิงขว้างเก้าอี้”
นอกจากนี้ โรคสมาธิสั้นในเด็กได้ข้อมูลอย่างมาก ที่ทำให้เข้าใจทั้งวิธีการแสดงออกของโรคและการรักษา และหากเด็กผู้ชายเป็นกลุ่มผู้ป่วยสมาธิสั้นส่วนใหญ่ แนวทางดังกล่าวจะเป็นคุณลักษณะของผู้ชายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นผลให้เด็กผู้หญิงและผู้หญิงที่เป็นโรคสมาธิสั้น มักไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือวินิจฉัยผิดพลาด และต้องทนต่อผลที่ตามมาจากชีวิต ด้วยสภาพที่ไม่ได้รับการรักษา เช่น ความเป็นอยู่ที่ดีลดลง อาชีพการงาน และโอกาสด้านความสัมพันธ์ที่แย่ลง และอื่นๆ อีกมากมาย
แพร์รอตต์ กล่าวว่า “การกังวลในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเอง สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตของคุณ และได้รับอันตรายร้ายแรงจากโรคสมาธิสั้น โดยเฉพาะในผู้หญิง” ไม่ใช่ว่าผู้หญิงที่เป็นโรคสมาธิสั้น ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ มันจะยากสำหรับพวกเขา
เมื่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับ โรคสมาธิสั้นดีขึ้น โรคสมาธิสั้นในผู้หญิงก็เริ่มระบุได้ง่ายขึ้น หวังว่าแนวคิดเรื่อง โรคสมาธิสั้น ที่ว่า 'ไม่เกิดหรือเกิดน้อยในเด็กผู้หญิง' กำลังจะหมดไปอย่างแท้จริง
โรคสมาธิสั้น เป็นสิ่ง 'ใหม่' หรือไม่
การอ้างว่า โรคสมาธิสั้น ในผู้ใหญ่เป็นเพียง 'แฟชั่น' เห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่ แม้ว่าคำว่าโรคสมาธิสั้น จะปรากฏค่อนข้างเร็ว ๆ นี้ แต่บันทึกอย่างเป็นทางการครั้งแรกของอาการที่เราน่าจะถือว่าเป็น โรคสมาธิสั้น สามารถย้อนกลับไปในปี 1798
โรคนี้มีมานานแล้ว ความผิดปกติที่บริเวณสมองหลายแห่ง และยีนหลายสิบยีน โรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน แต่ทำไมจู่ๆ ก็ดูเหมือนพบได้มากขึ้น แล้วโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ทั้งหมดนี้ ไปอยู่ที่ไหนมาก่อน
มีความตระหนัก และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางคลินิกและประชาชนทั่วไป ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการระบุ และรายงานอาการ และขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะความเชื่อมโยงที่เกิดจากสมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น ทำให้การวินิจฉัยง่ายขึ้น
โรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ 'ซ่อน' อยู่ที่ไหน เราพบว่าโรคสมาธิสั้นสามารถถูกบดบัง หรือเข้าใจผิดว่าเป็นโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นโรคทางจิตสองชนิดที่พบบ่อยที่สุดในโลก มีกี่ล้านคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นที่ซ่อนอยู่
และในขณะเดียวกันคุณก็ไม่ควรไป 'วินิจฉัย' บุคคลที่มีชื่อเสียงในอดีต ซึ่งเขาเหล่านั้นเป็นโรคสมาธิสั้น เช่น เคิร์ต โคเบน, เจมส์ ดีน และคลาร์ก เกเบิล นอกจากนี้ยังมีนักประดิษฐ์ชาวอิตาลีผู้โด่งดังคนนั้นด้วย ผู้ที่ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานนัก
เพียงเพราะเรารู้และแยกแยะโรคสมาธิสั้นดีขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีโรคนี้มาก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น เชื้อโรคได้ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 17 เท่านั้น แต่ความป็นจริงเชื้อโรคได้มีมานานตั้งแต่ใหนแต่ใรมาแล้ว
โรคสมาธิสั้น สามารถเป็นข้อได้เปรียบได้หรือไม่
แม้ว่าจะไม่ใช่มุมมองที่แพร่หลายที่สุด แต่ก็มีบางคนแย้งว่า โรคสมาธิสั้น ไม่ควรถือเป็นโรคตั้งแต่แรก มีผู้ที่เรียกมันว่าเป็นมหาอำนาจด้วยซ้ำ
แม้ว่าสิ่งนั้นอาจเป็นการพูดที่เกินจริง แต่การวิจัยบางชิ้นแนะนำว่า โรคสมาธิสั้น อาจเป็นประโยชน์ได้
การทดลองเผยให้เห็นว่าผู้ที่แสดงอาการโรคสมาธิสั้น จะสามารถหาอาหารได้ดีกว่า สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะว่าผู้เป็นโรคสมาธิสั้น มีแนวโน้มที่จะคิดว่า 'มีอะไรอีกบ้าง' ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งบ่งชี้ว่าโรคสมาธิสั้น เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจะอธิบายได้ว่า ทำไมมันถึงเกี่ยวข้องกับยีนและบริเวณของสมองมากมาย
มุมมองที่ทันสมัยกว่าบ่งชี้ว่าโรคสมาธิสั้น อาจเพิ่มความสามารถในการนำทาง และโต้ตอบกับโลกดิจิทัล ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งข้อมูลหลายแห่ง ที่เรียกร้องความสนใจพร้อมกัน
แต่ถึงแม้ว่าเราจะยอมรับข้อโต้แย้งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียงสองบริบทที่เฉพาะเจาะจง หนึ่งในนั้นคือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่ง โรคสมาธิสั้นจะมีประโยชน์เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่มากมาย และคนส่วนใหญ่ที่จัดการกับข้อมูลดังกล่าวจะเป็นเครื่องยืนยัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วโรคดังกล่าว เป็นปัญหา
คุณควรรู้สึกแย่กับการกินยารักษาโรคสมาธิสั้นหรือไม่
โชคดีที่ในโลกสมัยใหม่ โรคสมาธิสั้นเป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากไม่หายขาด ก็สามารถจัดการและบรรเทาลงได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์ เช่น การใช้ยาและการรักษา อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้ การรับประทานยาเพื่อรักษาอาการทางจิตหรือทางระบบประสาทใดๆ ยังคงถูกตีตราโดยบางคน ทำให้ผู้เป็นโรครู้สึกผิด และเกิดความละอายใจ
เหตุผลทางสังคมวัฒนธรรมสำหรับเรื่องนี้มีมากมายและหลากหลาย แต่พอจะกล่าวได้มันเกิดขึ้นกับโรคสมาธิสั้น ด้วยความสม่ำเสมอที่เยือกเย็น โรคสมาธิสั้น ยาเริ่มต้น ได้แก่ยา แอ๊ดดะรอล Adderall มีตัวยา dextroamphetamine และยา ริทะลิน Ritalin มีตัวยา methylphenidate ซึ่งเป็นตัวกระตุ้น และมีหลายคนที่คิดว่ายากระตุ้นไม่ดี
เป็นผลให้ผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ถือว่าผู้ที่ขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้น กำลังแสร้งทำเป็นโรคเพื่อรับ "การรักษา" หลักฐานเผยให้เห็นความเป็นจริงที่แตกต่างออกไปมากอีกครั้ง
ยาดังกล่าวปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการจัดการกับอาการของโรคสมาธิสั้นได้ดี แท้จริงแล้ว ผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้น มีอัตราการตอบสนองต่อยาสูงที่สุด และแม้ว่าจะมีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยารักษาโรคสมาธิสั้น ในทางที่ผิดเพื่อช่วยให้ 'มีสมาธิ' และสอบผ่าน แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะยานี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับคนปกติ
ยาออกฤทธิ์โดยการแทนที่กิจกรรมทางเคมีในสมอง ที่ได้ลดลงไปหรือบกพร่องลงไปจากการเป็นโรคสมาธิสั้น แต่สมองคนปกติทั่วไปไม่ลดลงหรือบกพร่องลงไป ยานี้จึงไม่สามารถจะมาแทนที่ได้ ดังนั้นยารักษาโรคสมาธิสั้น มักทำให้สิ่งต่างๆ ของคนปกติแย่ลงไป มันคล้ายกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มักจะได้รับประโยชน์จากยาแก้ปวดจากฝิ่น แต่การรับประทานยาเมื่อคุณแข็งแรง สุขภาพดี และไม่ได้รับบาดเจ็บนั้น ไม่ได้ช่วยอะไร
เพ็ตติกรู Nick Pettigrew นักเขียนขายดี เป็นโรคสมาธิสั้น กล่าวว่า นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่ายาสำหรับโรคสมาธิสั้น เป็นยาวิเศษหรือยารักษาโรคได้ทั้งหมด ดังที่ "เมื่อพูดถึง ยารักษาโรคสมาธิสั้น มันเหมือนกับว่า ทั้งชีวิตของผม ผมมีขาหักที่จะไม่มีวันหาย ผมก็สามารถผ่านมันมาได้จนถึงวัย 40 ของผม การวินิจฉัย และการกินยารักษาโรคสมาธิสั้นของผม มันเปรียบเหมือนกับการได้รับไม้ค้ำยันเป็นครั้งแรก ขาผมยังหัก แต่ตอนนี้ การเคลื่อนตัวของผมง่ายขึ้นกว่าเดิม”
น่าเศร้า ที่การมีอยู่ของโรคทางสมอง ดูเหมือนจะทำให้คนบางคนไม่พอใจ เช่นเดียวกับอะไรก็ตามที่เสริมกำลังมัน ดังนั้นยาจึงถูกมองว่าไม่ดี การวินิจฉัยไม่ดี และอื่นๆ
ความเชื่อในแง่ลบและไม่ยุติธรรมของสังคมและการตัดสินดังกล่าว สามารถทำให้สิ่งต่างๆ แย่ลงสำหรับผู้ป่วยสมาธิสั้น
บาร์นส์ Angela Barnes อดีตนักสังคมสงเคราะห์และนักแสดงตลก กล่าวไว้ว่า “ฉันมักจะโดนเสียดสีเหน็บแนม ปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่รุนแรงฉับพลัน รวมทั้งมองบน เมื่อฉันพูดถึงโรคสมาธิสั้น เพียงเพราะเขามีความคิดว่า ฉันกำลังพยายามทำตัวให้ทันสมัย คนเหล่านั้น น่าจะได้เห็นสิ่งที่ฉันต้องเผชิญตลอด 30 ปีที่ผ่านมา”
โดยพื้นฐานแล้ว มีคนยืนกรานว่า โรคสมาธิสั้น ไม่ใช่ "โรค" เลย บางคนอาจไม่ได้หมายความเช่นนี้อย่างมีเจตนาซ่อนเร้น และเชื่อว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้ เพียงแค่ต้องมีสภาพแวดล้อมที่ปรับให้เข้ากับวิธีคิด และการทำงานของพวกเขา ซึ่งเป็นจุดยืนอันสูงส่งและครอบคลุม และเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่ปัจจุบันเราไม่ได้อยู่ในโลกที่จะเป็นไปได้ แต่เราอาศัยอยู่ในโลกที่ทั้ง สาเหตุโรค การเกิดขึ้นของโรค ผลกระทบของโรค การแสดงออกของโรค และข้อกำหนดของโรคสมาธิสั้น ยังคงถูกเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง
สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง และจะต้องมีเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสมโดยมีการปรับตัว และแก้ไขทางสังคมให้มากเพียงพอ เพราะแม้ว่าคุณจะเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่า นี่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมเท่านั้น แต่ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจของโรคสมาธิสั้นที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และไม่ได้รับการรักษา ได้เพิ่มขึ้นถึงเป็นพันล้าน ความคิดเห็นที่ยืนยันว่า โรคสมาธิสั้นเป็น 'แฟชั่น' นั้น ไม่สามารถจะชดเชยสิ่งนั้นได้
ผู้เขียน : Dean Burnett (neuroscientist)
แปลไทยโดย : Wichai Purisa (senior scientist)
โฆษณา