3 พ.ย. เวลา 14:49

🌻 เรามีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน

💖 พระอาจารย์กล่าวว่า วันก่อนอาตมาซื้อทองไป ๖ กิโลกรัม ที่ราคาบาทละ ๑๘,๑๐๐ บาท วันต่อมาเหลือบาทละ ๑๗,๘๕๐ บาท ถามว่ารู้ไหมว่าจะลงมาขนาดนี้ ? รู้..แล้วก็รู้ว่าจะลงมากกว่านี้ด้วย แต่จะซื้อราคานี้ คือเรื่องของการซื้อขายจะมีราคาในใจของเราเองอยู่ อาตมาตั้งใจซื้อที่ ๑๘,๓๐๐ บาท ปรากฏว่ากว่าจะโทรสั่งเสร็จเหลือ ๑๘,๑๐๐ บาท ถือว่าได้กำไรบาทละ ๒๐๐ แล้ว
💎 หลายคนเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เขาเรียกว่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ไม่ควรคิด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเราเก็บมะม่วงได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียอกเสียใจ ไม่ได้คิดว่าที่ได้มายังเหลือดีอีกตั้ง ๓ ลูก
แล้วของก็เก็บมาฟรี ๆ ไม่ได้มีอะไรเสียสักหน่อย มีแต่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ เราภาวนาครั้งหนึ่งเท่ากับเราโกยบุญใส่ตัวครั้งหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งโกยบุญใส่ตัว ๒ ครั้ง ภาวนาครั้งหนึ่งเดินเข้าใกล้พระนิพพานก้าวหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งเดินใกล้พระนิพพาน ๒ ก้าว แต่คราวนี้ระยะทางที่ไปไกลจนประมาณไม่ได้ เราเดิน ๆ ไปแล้วอาจจะท้อว่าเมื่อไรจะถึงสักที ?
💖 ถ้าหากว่ารู้สึกท้อให้มองกลับหลังไปดู ก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไร ศีล ๕ ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ศีล ๕ ของเราครบถ้วนสมบูรณ์ บางท่านพัฒนาไปถึงกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ แล้ว เราจะเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ภาษิตเขาว่า “เห็นคนอื่นขี่ม้าอย่าไปอิจฉา เราขี่ลายังดีกว่าเดินเท้า” ม้าวิ่งเร็วนี่ ลาเดินก๊อก ๆ ไปทีละก้าว ขี้เกียจขึ้นมาก็นอนเฉยเลย แต่ดีกว่าเดินเอง คนเดินเท้ายังมีอีกตั้งเยอะ
💎 คราวนี้เรามาดูว่าการปฏิบัติของเราที่ว่าไม่ก้าวหน้า ความจริงแล้วเราก้าวหน้า เราขี่ลาอยู่ก็อย่าไปมองคนขี่ม้า ยิ่งคนขี่รถสปอร์ตเฟอรารี่ยิ่งไม่ต้องไปมองใหญ่ มองคนที่เดินตีนเปล่าอยู่ข้างหลังเรา หรือไม่ก็มองคนที่ยังนอนตีพุงอยู่ ไม่ยอมลุกเดินเลย
แล้วเราจะเห็นว่า เรามีความก้าวหน้ามากกว่าเขา แบบเดียวกับหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ หลวงปู่เจ้าคุณจันทร์ท่านบอกว่า “ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นแค่วณิพกในเรือนเศรษฐี”
💖 หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ว่า “ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ” ถ้าไม่รู้จักพอก็จนอยู่นั่นแหละ จะไปให้ใครได้ ? “พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล” รู้จักพอมีอะไรก็แบ่งปันคนอื่นเขาได้ ก็เท่ากับเรารวย
💎 ลักษณะของการปฏิบัติก็ต้องอยู่ในลักษณะนี้ คือทำได้เท่าไรเอาแค่นั้น อย่าอยากมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับอาตมาเองช่วงปฏิบัติใหม่ ๆ อยากได้ปฐมฌานมากที่สุดในโลก เพราะเห็นแนวทางแล้วว่า ทันทีที่ได้ปฐมฌาน จะเลี้ยวเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าเลย ตัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน
เพราะกำลังของปฐมฌานเพียงพอที่จะตัดกิเลสระดับพระโสดาบันได้ ถ้ายึดหัวหาดพระโสดาบันได้ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ก็สบายเราแล้ว ไม่มีถอยหลังมีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว อย่างเก่งก็คาอยู่ข้างบน เราก็ไม่ลงนรกแน่ เลยอยากได้ปฐมฌานมาก
💖 ด้วยความที่อยากจนเกินไป ศึกษาขั้นตอนปฐมฌานจนขึ้นใจ แล้วก็ภาวนาตามดูไปเรื่อย ปฐมฌานจะต้องประกอบไปด้วยองค์ ๕ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ก็ไปดูว่า ตอนนี้วิตกนะ เรากำลังคิดว่าจะภาวนา ตอนนี้วิจารนะ ลมหายใจเข้าและคำภาวนาไหลเข้าไปถึงตรงนี้ ไหลออกมาถึงตรงนี้ เอ้า..ตอนนี้ปีติ ขนลุกซ่า ๆ มาหน่อยหนึ่งแล้ว ตามดู จี้ติดทุกขั้นตอนเลย คำว่าสุขหน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยเจอ เพราะไม่รู้ว่าการที่ตัวเองอยากมากจนเกินไป กลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิไม่รวมตัว ก็ทำไปเถอะ
๑ วัน ๑ อาทิตย์ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี จน ๓ ปีไม่ได้อะไรสักที อย่างเก่งก็แค่ปีตินิด ๆ หน่อย ๆ เพราะว่าอยากได้มากจนเกินไป สภาพจิตไม่รวมตัวสักที จนกระทั่งวันนั้น “เฮ้อ..เหนื่อยเต็มทีแล้วโว้ย ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที จะได้ไม่ได้ช่างหัวแม่.. เราภาวนาไปก็แล้วกัน” โป๊ะเดียวได้เลย เพราะว่ากำลังใจปล่อยวาง ได้ไม่ได้ก็ช่าง ไม่สนใจจะไปตามดูแล้ว
💎 คราวนี้โยมจะเห็นว่าแม้กระทั่งการปฏิบัติ ถ้าเราเกิดความอยากก็จะไม่ได้ ในเมื่อรู้วิธีแล้วถ้าอาตมาสามารถที่จะย้อนกลับไปเริ่มต้นปฏิบัติ รับประกันได้ว่า ๕ นาทีก็ได้แล้ว กำลังใจจะทรงปฐมฌานเลย แต่สมัยก่อนไม่รู้นี่ งมอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ความอยากทำให้ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านทำให้จิตห่างจากสมาธิ ฉะนั้น..เรามีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
#รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
โฆษณา