4 พ.ย. เวลา 13:10 • ประวัติศาสตร์

การตกรถไฟเป็นครั้งที่ 2 ด้วยความชะล่าใจ

บ่ายอันหนาวเหน็บวันหนึ่ง ของวันที่ 19 ธ.ค.2530 ขณะทำงานเป็นช่างศิลป์ไนกี้
ผู้เขียนเสร็จงานจากสุรินทร์ จับรถไฟท้องถิ่นเที่ยวบ่ายๆ ด้วยระยะทางแค่ 58 กม ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมง กะว่าจะไปพักที่บุรีรัมย์แล้วค่อยออกทำงานช่วงเช้า รถไฟเที่ยวนั้นเป็นรถหวานเย็น มีโบกี้พ่วงยาวมาก
ผู้เขียนมีสัมภาระเยอะ นอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวแล้ว ยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดดิสเพลย์ตกแต่งร้านค้า แพ็กโดยเอากระดาษขาวเทาแผ่นใหญ่มาต่อกัน แล้วพับทำเป็นกระเป๋าใส่โปสเตอร์และโมบายไว้ด้านใน เอาเชือกมัดหัวท้ายและทำเป็นที่หิ้วคล้องไหล่ได้ นึกสภาพหนุ่มผมยาวใส่ยีนส์เก่าๆเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายกราฟิก แบกของพะรุงพะรังในวันนั้นแล้ว ต้องสตรองเบอร์ไหนนะนั่น
ขึ้นรถไฟที่สถานีสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ตีตั๋วมาลงบุรีรัย์ เมืองแห่งความรื่นรมย์ตามความหมายของชื่อเมือง บ่ายวันนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวที่*อากาศหนาวมากๆ และด้วยจำนวนของโบกี้ในขบวนนั้นต่อกันยาวเป็นสิบตู้ ผู้เขียนเดินหาที่นั่งได้ก็ท้ายๆขบวน เพราะคนจะแน่นช่วงโบกี้ต้นๆ และเกือบทั้งขบวนส่วนใหญ่ก็จะปิดหน้าต่างกันความหนาว พอเอาสัมภาระขึ้นไว้บนชั้นวางเหนือศีรษะ ก็นั่งเอาเท้ายื่นไปที่นั่งตรงข้ามที่ไม่มีผู้โดยสารอย่างสบายใจ
มีอาการแอ็คอาร์ตนิดหน่อยเนื่องจากมีสายตาของสาวๆแอบมองหนุ่มแปลกหน้าต่างถิ่น ที่แต่งตัวประหลาด มาดกวนๆแฮ่มมม..เขินเลยสิทีนี้ ระหว่างทางเหมือนพรมลิขิตให้ได้พบกับสาวสวยคนหนึ่ง จากการพูดคุยทราบว่าเป็นครูสอนอยู่ อ.กระสัง หน้าหวานสวยคมแบบไทยๆ คุณครูสาวคนสวยลงที่สถานีกระสัง ก่อนบุรีรัมย์ที่หมายของผู้เขียนเพียงสถานีเดียว
นี่ถ้าไม่ติดภาระกิจมีสิทธิ์แว่บออกนอกทางไปส่งแน่ๆ แต่ฟ้าคงลิขิตมาเท่านี้ หนุ่มผมยาวแต่งตัวเซอร์ๆจำต้องส่งครูสาวคนสวยด้วยสายตา แล้วก็ดันปากหนักไม่ได้ขอเบอร์ที่โรงเรียน หรือที่อยู่ในการติดต่อ ซึ่งคุณครูอาจไม่ให้ก็ได้ ฮ่าๆ..
สลัดภาพคุณครูคนสวยออกไปจากภวังค์แล้วกลับมานั่งวางขาชิลล์ๆอยู่ที่เดิม รถไฟเปิดหวูดเดินหน้าต่อไป โบกี้ที่ผู้เขียนโดยสารมาอยู่เกือบๆท้ายขบวน เวลาจอดจะเลยชานชลาทำให้ไม่เห็นตัวป้ายชื่อสถานี กว่าจะเห็นคือขบวนต้องออกแล้วถึงจะเห็นป้ายชื่อ เสียงประกาศตามสถานีแทบไม่ได้ยิน เพราะหน้าต่างที่ปิดกันความหนาวกันทั้งขบวนรถไฟ ฉับพลันพอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆออกจากสถานี เหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผันบนเส้นทางช่างศิลป์ก็บังเกิดขึ้น สายตาผ่านป้าย..
บุ บุ บุ บุรีรัมย์ เฮ่ยยยนั่นมันสถานีที่เราจะลงนี่ ไวเท่าความคิด(น่าจะช้าไปมากกว่า) ผู้เขียนรีบลุกขึ้นดึงกระเป๋าที่ทำขึ้นเองแบบหยาบๆใบใหญ่ที่ใส่อุปกรณ์ดิสเพลย์อย่างแรง ปรากฎว่าเชือกขาด ไส้ในไหลออกมาเต็มพื้นรถ
ท่ามกลางสายตาทุกคู่บนขบวน ที่หันมามองหลังเสียงของหล่นกระจาย จบกันละทีนี้ ลงไม่ทันรถไฟออกแล้ว ผู้เขียนเองได้แต่ยิ้มแหยๆแก้เก้อ แล้วรีบก้มลงเก็บรวบรวมโปสเตอร์รูปภาพต่างๆให้เข้าที่ สีหน้ากังวลเล็กน้อยและแน่นอน พระเอกก็มา เสียงคีมตัดตั๋วดัง แง่บๆๆมาแต่ไกล พนักงานตรวจตั๋วรถไฟนั่นเอง เดินมาทันทีเหมือนมี gps โดนค่าปรับ 20 บาท โทษฐานนั่งเกินสถานีที่ตีตั๋วไว้ และค่าโดยสารจากบุรีรัมย์-โคราช อีก 24 บาท
ตั๋วรถไฟจากบุรีรัมย์ ไปโคราช รวมค่าปรับ 20 บาท ที่ลงไม่ทัน ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับที่ทุ่งสง นครฯ
กว่าจะถึงโคราชก็ค่ำมืด คืนนั้นผู้เขียนเลยต้องโซซัดโซเซหาที่พักในโคราช ก่อนที่จะเดินทางกลับมาบุรีรัมย์อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น
**อีสานขึ้นชื่อเรื่องเวลาหน้าร้อน ก็ร้อนตับแตก เวลาหนาวก็หนาวจนพูดออกมาเป็นไอ ดั่งที่ผู้เขียนเจอมาแล้วที่อุบลฯ>> https://www.blockdit.com/posts/611e04b3c07f530c88561c60
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของ บุรีรัมย์ เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ตามแบบฉบับของเส้นทางช่างศิลป์ได้ที่ >> https://www.blockdit.com/posts/612b5474d8e0360c93582f43
"บนหนทางอันยาวไกล นับพันนับหมื่นกิโล
ผ่านรอยต่อแห่งกาลเวลา และยุคสมัยที่แปรเปลี่ยน" linxikun
เส้นทางช่างศิลป์/ช่างศิลป์ไนกี้/ช่างศิลป์ในตำนาน/ช่างศิลป์ยุคทำมือ
โฆษณา