5 พ.ย. เวลา 09:30 • ท่องเที่ยว
สโตว์

Stowe ราชินีแห่งความงามในฤดูใบไม้ร่วงของสหรัฐอเมริกา (Fall Foliage EP.9)

เสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567
เมื่อวานมีโอกาสผ่านไป Community Church ซึ่งถ้าใครมาเที่ยว Stowe แล้ว ไม่ได้มาชมวิวและถ่ายภาพของโบสถ์นี้ ก็ถือว่ายังมาไม่ถึง Stowe ยังมาไม่ถึง Vermont เลยทีเดียว
Stowe เมืองเล็ก แสนน่ารัก
โบสถ์แห่งนี้ เป็นจุดไฮไลท์ของเมือง Stowe ในการถ่ายภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
Community Church
แต่แสงตอนเย็นเมื่อวานนั้นอ่อนไปมาก ทีเดียว จึงได้ภาพมาจำนวนหนึ่งที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
ในเช้าวันนี้ เราเริ่มด้วยอาหารเช้าที่ปรุงกันเองภายในห้องพักของโรงแรม ด้วยเหตุผลว่า ทางโรงแรมนี้จะไม่มีอาหารเช้า
และร้านอาหารที่มีชื่อเสียง จัดว่าอร่อยนั้น จะเป็นร้านขนาดเล็กและจะต้องรอคิวค่อนข้างนาน โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวฤดูใบไม้ร่วง จะนานนับชั่วโมงเลยทีเดียว
โรงแรมที่พักมีเสน่ห์ด้วยเตาผิง
เราจึงตัดสินใจเลือกโรงแรม Snowdrift แห่งนี้ ภายในห้องซึ่งเราเลือกแบบขนาดใหญ่ไว้นั้น จะมีส่วนที่เป็นครัวครบครัน ตั้งแต่ เตาไมโครเวฟ เตาอบ เตาไฟฟ้า ตู้เย็น กระทะ ตะหลิว จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด แม้กระทั่งน้ำยาล้างจานและสก๊อตไบร์ทก็มีจัดไว้ให้
ส่วนครัวที่ครบครัน
เราจึงเตรียมวัตถุดิบที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อวาน มาทำกุ้งอบวุ้นเส้น ดอกกะหล่ำผัดกุ้งและไก่ ไข่เจียว
อาหารเช้าปรุงเอง
ผลไม้ก็มีทั้งสตรอเบอรี่ แบลคเบอรี่ แตงโม แอปเปิ้ล ทั้งสดและกรอบหวานอร่อยดีมาก
สตรอเบอรี่กรอบมาก
หลังจากเสร็จอาหารเช้าแล้ว เราจึงตัดสินใจไปที่ Community Church อีกครั้งหนึ่ง
เพื่อที่จะถ่ายภาพโบสถ์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ และได้ชื่อว่า The Most Photographed Church in NewEngland มีคู่แต่งงานจากทั่วโลกมาถ่ายภาพคู่กันที่โบสถ์แห่งนี้เป็นจำนวนมาก
เราโชคดีมาก เพราะในขณะที่ที่จอดรถเต็มไปหมดนั้น เกิดมีรถถอยออกมาหนึ่งคันพอดี เราจึงสามารถเข้าไปจอดได้ แต่จะต้องสแกน QR Code เพื่อจ่ายค่าจอดรถ
บรรยากาศชนบท NewEngland
ปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ เข้าใจว่าโทรศัพท์ของเราที่นำมาจากเมืองไทย อาจมีปัญหาในการเชื่อมต่อแอพบางอย่าง
ขณะที่กำลังเก้เก้กังกังอยู่นั่นเอง เราก็พบฝรั่งสาวสวยมาสแกน QR Code แล้วก็จ่ายค่าจอดรถได้เรียบร้อยดี ก็เลยตั้งใจว่าจะขอความช่วยเหลือ ให้เธอช่วยสแกนจ่ายให้เราด้วย แล้วเราจะจ่ายเธอเป็นเงินสดให้
ปรากฏว่าเมื่อไปพูดคุย เธอใจดีกว่าที่เราคาดไว้มาก เพราะนอกจากจะพร้อมทำให้แล้ว ยังบอกว่าค่าสแกนจอดรถชั่วโมงละ 4 เหรียญนั้น ไม่ต้องจ่ายให้เธอก็ได้
เราก็เกรงใจมาก นอกจากจะมาต้องเสียเวลามาช่วยสแกนจ่ายค่าจอดรถให้เราแล้ว ยังจะช่วยออกเงินค่าจอดรถให้เราด้วย ก็เลยบอกเธอว่า เราจะจอดนานกว่า 1 ชั่วโมง คือคาดว่าจะจอด 2 ชั่วโมงครึ่ง คิดเป็นเงิน 10 เหรียญ
เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร เราก็บอกว่า ขอให้เราออกเถอะ เธอจึงยินดีรับไว้ เป็นคนที่อารมณ์ดี พูดจาน่ารักมาก
สาวอเมริกันใจดีมาก
ทราบว่าจบมาจากมหาวิทยาลัย Purdue และมาทำงานทางด้าน Cyber Security ของ IBM ที่บอสตัน เราร่ำลาเธอด้วยความขอบคุณและประทับใจมากๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินไปถ่ายรูปโบสถ์ ได้หลากหลายมุม ได้ภาพที่มีแสงจากพระอาทิตย์ที่เปลี่ยนแปลงตามจังหวะของเมฆที่เพิ่มขึ้นลดลงอยู่ตลอดเวลา
สะพานมีหลังคา
เมื่ออิ่มอกอิ่มใจจากภาพของโบสถ์ดังกล่าวแล้ว เราก็ออกจากที่จอดรถเพียงนิดเดียว ก็เดินข้ามสะพานที่มีหลังคาคือ Stowe Covered Bridge อันมีชื่อเสียงมากของเมืองนี้
แล้วเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง แม้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของ Vermont แต่ก็มีขนาดเล็ก ตามสไตล์ของเมืองเล็กๆในชนบทของสหรัฐอเมริกา
เราจึงมีโอกาสที่จะได้ชื่นชมบรรยากาศของร้านรวงที่สวยงามน่ารักสองข้างทาง โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นเทศกาลใบไม้ร่วงและฮาโลวีน ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส
เดินชมบ้านชมเมือง ถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อย แบบสบายสบาย จนมาถึง Welcome Center
จึงแวะเข้าไปเพื่อหาข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับการที่เราตั้งหลักจะอยู่ที่ เมืองนี้ถึง 4 วัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ใกล้เคียงมากกับที่เราเตรียมการไว้แล้วจากเมืองไทย เป็นอันมั่นใจว่า ตารางกำหนดการท่องเที่ยวที่เราวางเอาไว้เองนั้น ถือว่ามีความสมบูรณ์ดีมาก
ภายใน Welcome Center พบว่าผนังด้านหนึ่งเป็นแผนที่โลก จะมีการให้นักท่องเที่ยวปักหมุดสีแดงว่ามาจากประเทศไหน แน่นอนอยู่แล้ว ที่หมุดจะหนาแน่นมากที่สุดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง รองลงมาก็เป็นแถวยุโรป
พอเหลือบมาดูแถวอาเซียน ก็มีไม่ค่อยมากนัก ของประเทศไทยมีน้อยมาก คือแค่สามหมุดหรือสามคนเท่านั้น เราจึงทำหน้าที่เผยแพร่ชื่อเสียงของไทยเสียหน่อย ว่าได้เดินทางไกลครึ่งโลก 23 ชั่วโมง ก็เลยปักหมุดแดงลงไปเพิ่มให้กับแผนที่ไทยอีกสองอันด้วยกัน ภูมิใจสุดสุด
ภายในโบสถ์
หลังจากนั้นเราก็แวะเข้าไปภายในโบสถ์ที่สวย สะอาด และสงบ การตกแต่งภายในเรียบง่ายมาก ไม่มีการตกแต่งที่ดูหรูหราราคาแพงแต่อย่างใด ทั้งที่เมืองนี้เป็นเมืองแห่งความร่ำรวย
ภายนอกโบสถ์
นี่แหละคือแก่นแท้ของศาสนาที่แท้จริง
หลังจากนั้นเราเดินไปในทิศทางที่จะไปสู่จุดชมโบสถ์ในมุมสูงคือ Sunset Rock ระยะเพียง 600 ฟุต แต่เป็นทางชัน เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร
ระหว่างเดินขึ้นจุดชมวิว
แต่วิวจากข้างบน เมื่อมองลงมาเห็นโบสถ์และถนนกลางเมือง ก็ต้องถือว่าคุ้มค่า
ส่วนทางเดินที่จะสูงขึ้นไปอีกนั้น เราเดินขึ้นไปจนถึงจุดชมวิว พบว่าสวยปานกลาง จึงแนะนำว่า สำหรับคนที่มีเวลาน้อยและร่างกายไม่ฟิต คิดว่าไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นมาจนถึงจุดชมวิวข้างบน
ร้านอาหาร Von Trapp Bierhall
จุดถัดไปคือ ร้าน Von Trapp Bierhall อันมีชื่อเสียง เมื่อไปถึงเวลาประมาณบ่ายโมง เข้าไปต่อคิวจองโต๊ะอาหารปรากฏว่าได้คิวทานสองทุ่ม เหลือเชื่อมาก จองบ่ายโมงได้คิวทานสองทุ่ม
ก็เลยตัดสินใจว่า ขับรถกลับมาทานอาหารไทยแสนอร่อยที่ห้องพักโรงแรมของเราดีกว่า เพราะใช้เวลาขับรถเพียงนิดเดียว
หลังจากเราเอร็ดอร่อยจากอาหารกลางวันที่เราทำเองในห้องพักแล้ว เราก็ออกเดินทางโดยการขับรถไปเที่ยวโรงแรมชื่อดังของตระกูล Trapp ซึ่งมีคนมาเที่ยวชมกันมาก
ไม่เพียงแต่ภูมิทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามเท่านั้น แต่ยังมีประวัติความเป็นมาที่คนสนใจกันมาก โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์ดังในอดีตคือเดอะซาวด์ออฟมิวสิค
โดยครอบครัว Trapp เป็นชาวออสเตรียอพยพหนีนาซีมาอยู่ Vermont ในปี 1942 แต่เหตุที่ Vermont นั้นมีช่วงเวลาของการทำเกษตรสัันกว่าออสเตรีย อาชีพนักร้องจึงน่าสนใจกว่าการทำการเกษตร
มาเรีย สมาชิกของตระกูลนี้ ได้เขียนหนังสือ The Story of the Trapp Family Singer ซึ่งต่อมาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังก้องโลก The Sound of Music นั่นเอง
หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปยังบริเวณจุดสวยงามใกล้เมือง Stowe คือ Gondola Skyride to Mt. Mansfield ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของรัฐ Vermont เพื่อจะถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ข้างล่าง ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเขาแต่อย่างใด
วิวสองข้างทาง เป็นใบไม้เปลี่ยนสี เขียว เหลือง ส้ม น้ำตาล แดง ไปตลอด
ถือว่าวันนี้ประสบความสำเร็จในการชมใบไม้เปลี่ยนสีอีกวัน คือแดดดี ไม่มีฝนและใบไม้พีคมาก
เมื่อกลับมามาถึงโรงแรมแล้ว ด้วยความที่ภายในห้องพักที่เราจองนั้น เป็นห้องใหญ่ที่แบ่งเป็นสัดส่วน ทั้งบริเวณครัว ที่ทานอาหาร ที่รับแขก แล้วยังมีเตาผิงแบบอเมริกันชนบทแท้แท้
หน้าเตาผิง
ซึ่งทางโรงแรมได้เตรียมฟืน ไม้ขีดอุปกรณ์ต่างๆ มาให้พร้อม
เรื่องนี้พลาดไม่ได้แน่นอน เราก็เริ่มก่อไฟ เพื่อจะจุดฟืนให้เกิดบรรยากาศอยู่ในบ้านชนบทของชาวอเมริกาอย่างแท้จริง
เปลวไฟแสงสวยจากเตาผิงที่เราก่อเอง
จบวันลง ด้วยการนั่งหน้าเตาผิง แบบในหนังอเมริกันที่เคยเห็นทุกประการ
สุข สงบ อบอุ่น สบายมากๆครับ
โฆษณา