5 พ.ย. เวลา 15:33 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

"ไขปริศนากำเนิดระบบสุริยะ! ดวงดาวเกิดขึ้นได้อย่างไร? หาคำตอบได้ที่นี่!"

ระบบสุริยะที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันเป็นผลลัพธ์จากการวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ของจักรวาลที่กินเวลานับพันล้านปี ทุกวันนี้ เรามีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวงโคจรรอบๆ รวมถึงดวงจันทร์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และฝุ่นอวกาศอีกนับไม่ถ้วนที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ แต่ระบบสุริยะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? และทำไมถึงมีองค์ประกอบเช่นนี้? เพื่อทำความเข้าใจ เราต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของจักรวาล
จุดเริ่มต้นของระบบสุริยะ: กำเนิดจากเนบิวลา
ระบบสุริยะของเราก่อตัวขึ้นจากก๊าซและฝุ่นมหาศาลที่เรียกว่า “เนบิวลาสุริยะ” เมื่อประมาณ 4.6 พันล้านปีก่อน เนบิวลานี้เป็นกลุ่มของก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมผสมกับฝุ่นอวกาศ ซึ่งเกิดจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวาในอดีต ซุปเปอร์โนวา คือการระเบิดของดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก ที่ทิ้งเศษซากพลังงานมหาศาลไว้ในอวกาศ พลังงานนี้เป็นตัวกระตุ้นให้กลุ่มก๊าซและฝุ่นเหล่านี้เริ่มรวมตัวกัน
โดยแรงโน้มถ่วงภายในเนบิวลาทำให้ก๊าซและฝุ่นเริ่มหดตัวเข้าหากันเป็นก้อนๆ และในที่สุดก็เกิดเป็นศูนย์กลางที่มีความหนาแน่นสูง นั่นคือจุดเริ่มต้นของดวงอาทิตย์ของเรา
การเกิดของดวงอาทิตย์และดิสก์โปรโตพลาเนทารี่
เมื่อกลุ่มก๊าซและฝุ่นหดตัวเข้าหากันมากขึ้น ศูนย์กลางของเนบิวลานี้ก็เริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงจุดที่เกิดการหลอมรวมของนิวเคลียร์ ฟิวชันนี้ทำให้เกิดแสงและพลังงานอย่างมหาศาล ซึ่งก่อให้เกิดดวงอาทิตย์ขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ก่อตัวเสร็จ ดิสก์โปรโตพลาเนทารี่ (protoplanetary disk) หรือแผ่นจานฝุ่นและก๊าซที่หมุนรอบดวงอาทิตย์เริ่มก่อตัว แผ่นจานนี้มีลักษณะหมุนเวียนรอบดวงอาทิตย์และเป็นแหล่งของวัสดุที่เหลือจากการก่อตัวของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่มาของดาวเคราะห์และวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะของเรา
การก่อตัวของดาวเคราะห์: จากก้อนฝุ่นเล็กๆ สู่ดาวเคราะห์ขนาดมหึมา
แผ่นดิสก์โปรโตพลาเนทารี่ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นแหล่งของฝุ่นละอองเล็กๆ ที่มีทั้งก๊าซและเศษหิน เมื่อฝุ่นละอองเหล่านี้เริ่มชนกัน พวกมันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นก้อนเล็กๆ ที่เรียกว่า “พลาเนเตสซิมอล” (planetesimal) ก้อนพลาเนเตสซิมอลเหล่านี้จะรวมตัวกันและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ในที่สุด
การเกิดของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ดาวเคราะห์หิน และดาวเคราะห์แก๊ส
1. ดาวเคราะห์หิน: ในบริเวณใกล้ดวงอาทิตย์ ซึ่งมีอุณหภูมิสูง จะมีเพียงวัสดุที่มีความทนทานสูง เช่น โลหะและหิน ที่สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ได้ จึงเกิดเป็นดาวเคราะห์ชั้นใน ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร
2. ดาวเคราะห์แก๊ส: ในบริเวณที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ อุณหภูมิจะลดลง ก๊าซและน้ำแข็งสามารถรวมตัวกันได้ จึงเกิดเป็นดาวเคราะห์แก๊สขนาดใหญ่ ได้แก่ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
การเกิดของดวงจันทร์และดาวเคราะห์น้อย
นอกจากดาวเคราะห์แล้ว ระบบสุริยะยังมีดวงจันทร์ ดาวเคราะห์น้อย และดาวหางจำนวนมากที่โคจรอยู่รอบๆ โดยดวงจันทร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเกิดขึ้นจากการชนระหว่างพลาเนเตสซิมอลขนาดเล็กกับดาวเคราะห์แม่ ในกรณีของโลก ดวงจันทร์อาจเกิดขึ้นจากการชนกันระหว่างโลกกับวัตถุขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ธีอา” ทำให้เศษวัสดุกระจายออกมาและก่อตัวเป็นดวงจันทร์
ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง: เศษซากจากการก่อตัวของระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางเป็นเศษซากจากดิสก์โปรโตพลาเนทารี่ที่ไม่สามารถรวมตัวเป็นดาวเคราะห์ได้ ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส ส่วนดาวหางมักอยู่ในขอบนอกของระบบสุริยะ และเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ น้ำแข็งที่ประกอบอยู่ในดาวหางจะระเหยกลายเป็นแก๊สและเกิดเป็นหางยาวที่ส่องสว่าง
ระบบสุริยะ: โครงสร้างอันซับซ้อนที่สมบูรณ์
ปัจจุบัน ระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ 8 ดวง ดาวเคราะห์แคระ เช่น ดาวพลูโต ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางนับล้านที่ล่องลอยในอวกาศ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการวิวัฒนาการของก๊าซและฝุ่นที่เริ่มต้นจากเนบิวลาสุริยะ ระบบสุริยะจึงเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ที่นำพาเรามาอยู่ในโลกใบนี้และเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษาความลี้ลับของจักรวาลต่อไป
โฆษณา