6 พ.ย. เวลา 01:22 • การศึกษา

# พระสงฆ์ กับ อาการเบื่อพระวินัยที่ปฏิบัติไม่ได้หลายข้อในปัจจุบัน

พระสงฆ์ไทยมีอาการเบื่อพระวินัยที่ปฏิบัติไม่ได้แล้ว เพราะล้าสมัย เช่น ห้ามจับเงินทอง ห้ามมีจีวรหลายผืน และห้ามอื่นๆ อีกมาก
แต่ก็ยังอยากบอกคนอื่นๆ ว่า ตนถือพระวินัย 227 ข้อและยังทำพิธีกรรมตามที่พระวินัยกำหนด เช่น
• การสวดปาติโมกข์ (ฟังไม่รู้เรื่องและขี้เกียจฟัง)
• การทำปวารณา (ทำ แต่ไม่เคยทำได้จริง มึงชี้โทษกู มึงก็อยู่วัดกับกูไม่ได้)
• การกรานกฐิน (ไม่ยึดผ้าเปลี่ยนใหม่ แต่ยึดเงินบริวารกฐินเป็นสำคัญ และคนมีจีวรมาก แต่ถูกเจาะจงเป็นองค์ครองกฐิน เช่น เจ้าอาวาส) เป็นต้นอยู่นะ จะวิเคราะห์และวิพากษ์เรื่องนี้อย่างไร
หัวข้อที่ว่าด้วยเรื่อง “อาการเบื่อพระวินัย” ของพระสงฆ์ไทย โดยเฉพาะในแง่การปฏิบัติที่เห็นว่าล้าสมัยหรือยากต่อการดำรงชีวิตของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบันดังที่กล่าว มีความสำคัญที่สามารถวิเคราะห์และวิพากษ์ได้ในหลายแง่มุม ทั้งในด้านการพัฒนาทางสังคมวัฒนธรรมของสงฆ์เอง ความคาดหวังของสังคมที่มีต่อพระสงฆ์ และความหมายที่แท้จริงของ “พระวินัย” ในฐานะกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้น ดังนี้
1) ความท้าทายของพระวินัยในบริบทสังคมปัจจุบัน
หลายข้อในพระวินัยที่ถูกกล่าวถึง เช่น ห้ามถือเงินทอง ห้ามมีจีวรหลายผืน หรือข้อห้ามอื่นๆ นั้น เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นโดยมุ่งหวังให้พระสงฆ์ได้ฝึกฝนการละวางทรัพย์สิน และเป็นการเน้นความเรียบง่าย ขจัดความโลภ ความยึดติดในทรัพย์สมบัติ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและโลกมีการเปลี่ยนแปลง วิธีชีวิตและเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มากระทบกับการปฏิบัติของสงฆ์ ทำให้ข้อปฏิบัติบางประการยากแก่การคงรักษา เช่น ความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเพื่อการเดินทาง การซื้ออาหาร หรือการจัดการกิจวัตรอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีในยุคพุทธกาล
2) การปรับตัวของพระสงฆ์เพื่อคงความเป็นพระวินัย
พระสงฆ์ไทยหลายรูปอาจพยายามปฏิบัติให้สอดคล้องกับพระวินัย 227 ข้อและข้อกำหนดตามพระวินัยกำหนด แต่เมื่อบางข้อเป็นไปได้ยากในยุคสมัย อาจมีการปรับให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน เช่น ให้ฆราวาสถือเงินให้ หรือใช้ระบบคูปอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอาจทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากคนทั่วไป เพราะสังคมไทยบางส่วนยังคาดหวังให้พระสงฆ์ถือวินัยอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาความเคารพนับถือในพระศาสนาเอาไว้
3) การแยกระหว่างอุดมคติและปฏิบัติจริง
อาการที่พระสงฆ์บางรูปแสดงออกถึงการถือพระวินัยตามอุดมคติ เช่น บอกว่าตนเองยังคงปฏิบัติตามพระวินัย 227 ข้อและทำตามข้อกำหนดแห่งพระวินัย แต่อาจมีการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปในทางปฏิบัติจริง เป็นการแสดงถึงปัญหาที่ซับซ้อนระหว่างอุดมคติตามพระวินัยในแง่ของความเรียบง่ายและการละวาง กับความเป็นจริงทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการที่พระสงฆ์พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนเพื่อให้ยังคงได้รับการยอมรับจากสังคม แต่อาจต้องประสบกับความลำบากและยุ่งยากในการคงความสมบูรณ์ของอุดมคตินั้นเอาไว้
4) คำถามถึงความจำเป็นและการปรับปรุงพระวินัย
ในแง่ของการวิพากษ์ความท้าทายนี้ อาจเปิดคำถามถึงความจำเป็นของการปรับปรุงข้อวินัยบางประการให้เหมาะสมกับยุคสมัย แม้ว่าพระวินัยจะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แต่เดิมและสภาพระอรหันตเถระ 500 ในสังคายนาครั้งที่ 1 ไปล็อคประเด็นไว้มิให้เปลี่ยนแปลง แม้พระพุทธเจ้าจะทรงอนุญาตให้ถอน "สิกขาบทเล็กน้อย" ได้ก็ตาม
แต่กระนั้น บริบทของการปฏิบัติตามนั้นก็อาจถูกตั้งคำถามว่า ควรปรับให้สอดคล้องกับการดำรงชีวิตจริงหรือไม่ เช่น การใช้เงินเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสะสมทรัพย์ หรือการมีเครื่องนุ่งห่มเพิ่มเติมเพื่อสุขอนามัย อย่างไรก็ตาม การแก้ไขหรือยกเลิกข้อวินัยจะเป็นการลดความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาในสายตาของคนทั่วไปหรือไม่ ก็เป็นอีกคำถามที่สังคมต้องพิจารณา
5) การมองพระวินัยเป็นแนวทางฝึกฝนจิตใจมากกว่าเป็นกฎบังคับ
 
หากพระวินัยถูกมองว่า เป็นแนวทางฝึกฝนจิตใจเพื่อให้พระสงฆ์ได้ฝึกการลดละกิเลส แทนที่จะเป็นเพียงกฎบังคับ จะทำให้ข้อวินัยมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและเน้นให้เห็นถึงเจตนาแท้จริงของการปฏิบัติ ความสำคัญของพระวินัยจึงอยู่ที่การให้พระสงฆ์ฝึกความสมถะและพยายามละเว้นจากการยึดติดในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการบรรลุธรรม มากกว่าการปฏิบัติเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของความสมบูรณ์ของศาสนา
ดังนั้น การวิพากษ์เรื่องนี้จึงไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาถึงความล้าสมัยของข้อวินัยและข้อกำหนดอื่นๆ ตามพระวินัยที่ปฏิบัติได้ยากลำบากในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงจุดมุ่งหมายในการบำเพ็ญตนแนวสมถะและการสร้างสมาธิของพระสงฆ์ ในฐานะที่เป็นแนวทางปฏิบัติสู่การปล่อยวางตนด้วย
ชีวิตพระสงฆ์นี่...ยากแท้ในสังคมปัจจุบันนี้ครับผม 555
— ขออนุญาตเผยแพร่/ขอบคุณท่าน รศ.ดร.อภิญญวัฒน์ โพธิ์สาน
โฆษณา