เมื่อวาน เวลา 11:59 • ธุรกิจ

ดอนัลด์ ทรัมป์ ในมุมนักธุรกิจ เคยเป็นหนี้ 30,000 ล้าน แต่กลับมาได้

ดอนัลด์ ทรัมป์ เคยเกือบล้มละลายมาแล้ว เป็นหนี้เกือบ 30,000 ล้านบาท เพราะเร่งกู้เงินมาขยายธุรกิจ
นี่คือเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เพราะปกติแล้ว เราจะรู้จักชายคนนี้ในมุมบ้าบิ่น พูดจาโผงผาง ดุดันหน้าโพเดียม ในภาพนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เห็นกันจนชินตา
1
วันนี้เรามารู้จักดอนัลด์ ทรัมป์ ในมุมนักธุรกิจกันบ้างว่า เขาผ่านช่วงเวลาเกือบล้มละลาย มาได้อย่างไร
ดอนัลด์ ทรัมป์ ในคราบนักธุรกิจเป็นคนแบบไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ดอนัลด์ ทรัมป์ เกิดที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อปี 1946 ในครอบครัวของนักธุรกิจอย่างเฟร็ด ทรัมป์ ที่เน้นทำอสังหาฯ ราคาถูกในเมือง
โดยโครงการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ของพ่อเขา มักได้รับเงินกู้พิเศษจากรัฐบาลค้ำประกัน เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาถูก
ให้กับคนงานและกองทัพ ตามนโยบายของรัฐบาล
แต่ตอนหลัง ปรากฏว่าพ่อของเขาถูกเพิกถอนสิทธิ์เงินกู้พิเศษตรงนี้ เพราะประเมินการใช้เงินก่อสร้างโครงการให้สูง ๆ เพื่อให้ได้เงินกู้ก่อสร้างเยอะเกินความเป็นจริง
จากนั้นก็ใช้เงินก่อสร้างต่ำกว่าเงินกู้ที่ได้มา เพื่อให้ได้ส่วนต่างเงินตรงนี้เข้ากระเป๋าตัวเองแทน
อย่างไรก็ตาม แม้พ่อของเขาจะโดนเพิกถอนสิทธิ์ และต้องจ่ายเงินคืนรัฐบาล แต่โครงการอสังหาฯ ต่าง ๆ
ก็ยังเป็นของครอบครัวทรัมป์เหมือนเดิม
ในช่วงเดียวกันทรัมป์ ก็เติบโตมาเรื่อย ๆ จนจบปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ก่อนเข้ามาช่วยงานธุรกิจครอบครัว
แต่สิ่งที่เขาอยากเปลี่ยนแปลงก็คือ จะไม่ทำธุรกิจอสังหาฯ ราคาถูกอีกต่อไป
เพราะอยากเน้นทำธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความพรีเมียม
เช่น โรงแรมหรู โครงการที่อยู่อาศัยแบบหรูหรามากขึ้น
จนเมื่อโอกาสมาถึงในปี 1974 เขากลายเป็นประธานบริษัท แล้วเปลี่ยนชื่อธุรกิจที่บ้านเป็น Trump Organization ที่มีพ่อคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง
โดยกลยุทธ์ที่เขาใช้คือ ซื้อกิจการอสังหาฯ แบรนด์หรู
ที่ดูเก่าและทรุดโทรมในราคาถูก เพื่อนำมาปรับปรุงใหม่ให้ดูดี จนกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง
ไล่ตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการโรงแรมเก่า Commodore
ที่ทรัมป์ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีทรัพย์สินเป็นเวลา 40 ปี
แม้เงินที่ซื้อกิจการจะไม่พอ แต่ด้วยความช่วยเหลือทางการเงินและเส้นสายทางการเมืองจากพ่อ ทำให้
ดีลการซื้อโรงแรมนี้เป็นไปได้ด้วยดี
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเข้าปรับปรุงกิจการโรงแรม Hyatt
ตามมาด้วยอาคาร Trump Tower ที่รวมอาคารสำนักงาน
พื้นที่อาศัย และร้านค้าครบในที่เดียว
แถมยังรุกธุรกิจกาสิโนในเวลาเดียวกัน เช่น Trump Taj Mahal, Trump Castle Hotel & Casino
ทีมฟุตบอล New Jersey Generals
และธุรกิจเรืออย่าง Trump Princess อีกด้วย
ซึ่งการขยายธุรกิจที่รวดเร็วทั้งหมดนี้ ในเวลาสั้น ๆ ทำให้ทรัมป์เป็นหนี้อย่างมหาศาล ถ้าในช่วงปกติ การเป็นหนี้เยอะแต่ธุรกิจยังโตได้ ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร
แต่ในช่วงปี 1990 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดตกต่ำ ธุรกิจของทรัมป์ที่เคยทำเงินได้ต่อเนื่อง ก็ได้รับผลกระทบ จนในที่สุด ภาระหนี้ก็พอกพูน และชำระหนี้คืนได้น้อยลงเรื่อย ๆ
โดยธุรกิจในเครือของเขา มีปัญหาหนี้มากถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 169,000 ล้านบาท (ยังไม่ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ)
นี่ยังไม่รวมหนี้ส่วนตัวของทรัมป์ ที่มากถึง 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 30,000 ล้านบาทในตอนนั้น
ถ้าใครเจอแบบนี้ คงเห็นว่าทรัมป์คงล้มละลายแน่ ๆ
แต่ทรัมป์ก็ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่าย ๆ..
เขาลุยเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มหาศาลที่เกิดขึ้น ด้วยการขายธุรกิจในเครือของตัวเองออกไปเรื่อย ๆ เช่น Trump Princess
และปล่อยให้ธุรกิจกาสิโนและโรงแรมล้มละลาย เช่น Trump Taj Mahal, Trump Castle Hotel & Casino และ Trump Plaza
แม้จะปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่บรรดาธนาคารก็ยังไม่เชื่อใจให้ทรัมป์กู้อีกต่อไป จนทรัมป์ต้องเริ่มขายไอเดียโครงการใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แล้วบอกว่า ถ้าไม่ให้ทำโครงการใหม่ที่ว่า เขาก็จะไม่มีเงินมาใช้คืน..
จนในที่สุดธนาคารเยอรมนีอย่าง Deutsche Bank ก็เริ่มให้เงินกู้กับทรัมป์อีกครั้ง เพื่อทำโครงการ Trump World Tower และ Trump International Hotel
ซึ่งเป็นการต่อลมหายใจให้ทรัมป์กลับมาได้ ก่อนที่เขาจะเริ่มทำธุรกิจสื่อ ด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์กับสถานีโทรทัศน์ NBC เพื่อเข้าซื้อธุรกิจ Miss Universe
และเขาได้เข้าวงการสื่ออย่างเต็มตัว หลังจาก
มีชื่อเสียงโด่งดังในรายการเรียลลิตีโชว์อย่าง The Apprentice ที่มีคำพูดเด็ดจากปากทรัมป์ว่า You’re fired หรือคุณถูกไล่ออกแล้ว
ก่อนที่เขาจะใช้ชื่อเสียงนี้ ไปต่อยอดทำธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น มหาวิทยาลัยทรัมป์, บริษัทการเงิน Trump Financial และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเองอย่าง Truth Social
อย่างไรก็ตาม การสร้างความรวยของทรัมป์ ก็ยังเป็นคำถามที่ยังสงสัยกันอยู่ เพราะมีหลักฐานว่าพ่อของทรัมป์
โอนเงินให้กับทรัมป์ในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเงินจำนวนนี้ อาจมากถึง 413 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือคิดเป็นเงินไทยราว 14,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
นี่ยังไม่รวมความช่วยเหลือทางการเงินอื่น ๆ และยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์มีการเลี่ยงจ่ายภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง ด้วยการรายงานให้ธุรกิจขาดทุน
1
ถึงตรงนี้ก็คงตอบยาก สรุปแล้วทรัมป์เป็นเศรษฐีอเมริกัน
ที่สร้างความร่ำรวยจากตัวเองจริง ๆ มากแค่ไหน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ปัจจุบัน Forbes ได้ประเมินว่า ทรัมป์ เป็นมหาเศรษฐี ผู้มีความมั่งคั่งกว่า 188,700 ล้านบาท รวยสุดเป็นอันดับที่ 591 ของโลก
ซึ่งเราก็ได้เห็นภาพเขาในวงการการเมืองครั้งแรก เมื่อเขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับโลกนี้ในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา
และเราก็ได้เห็นเขาอีกครั้ง เมื่อเขากำลังเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในเร็ววันนี้..
โฆษณา