7 พ.ย. เวลา 06:45 • ประวัติศาสตร์

ความจริงของการสังหารหมู่ ณ เมืองบูชา ปี 2022 (Bucha massacre truth)

หนึ่งในเหตุการณ์อันสุดโด่งในปี 2022 หลังจากการเริ่มต้นปฏิบัติการพิเศษทางการทหารของรัสเซียเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ เป็นเวลาเกือบ 3 สัปดาห์หลังจากปะทะกับกองทัพยูเครน ทางด้านกองทัพรัสเซียกลุ่มทางเหนือได้เคลื่อนพลเข้าสู่พื้นที่ชานเมืองบูชา (Bucha) เมืองเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงคีฟ (Kyiv) มีประชากรก่อนสงครามอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าคน ภายหลังได้ถูกยึดครองได้อย่างเสร็จสมบูรณ์โดยกองทัพรัสเซียเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ทำให้พวกเขามีระยะทางห่างจากกรุงคีฟประมาณ 25 กิโลเมตรเท่านั้น
หลังจากเข้ายึดครองเมืองได้แล้วนั้นโดยกองทัพรัสเซีย พวกเขาก็ได้มีการออกคำสั่งปิดกั้นพื้นที่รอบเมืองเอาไว้ และไม่อนุญาตให้ประชากรที่อยู่ในเมืองไม่ไปไหน ขณะที่ประชากรจำนวนมากได้ทำการอพยพออกไปแล้วโดยความช่วยเหลือของทหารยูเครน ระหว่างการยึดครองนั้นเอง ทางกองทัพทั้งฝ่ายก็มีการปะทะกันในพื้นที่รอบนอกตัวเมืองต่อไปอย่างดุเดือด โดยกองทัพยูเครนพยายามโจมตีสวนกลับเพื่อยึดตัวเมืองคืนมาจากรัสเซียตลอดเวลา
1
กระทั่งในวันที่ 30 มีนาคม กองทัพรัสเซียที่ทำการปกปักรักษาเมืองได้ทำการล่าถอยออกจากเมืองไป ก่อนที่กองทัพยูเครนที่ประกาศชัยชนะไปจะเข้ามาสู่ตัวเมืองในวันที่ 31 มีนาคม ทุกอย่างอย่างเหมือนจะจบลงได้อย่างสวยงามและความภาคภูมิใจสำหรับชาวยูเครนที่พึ่งปกป้องเมืองหลวงของพวกเขาเอาไว้ได้
กระทั่งวันที่ 3–4 เมษายน นั้นเอง ภาพถ่ายและวิดีโอของหลายสำนักข่าวก็ได้มีการปรากฏออกมา เผยให้เห็นถึงศพของผู้คนจำนวนมากที่ถูกมัดมือไขว้หลัง บางคนถูกปิดตา และอื่น ๆ ได้ถูกยิงตายเกลื่อนเมืองไปหมด ส่วนมากนั้นจะถูกยิงเข้าหัว ก่อนจะปล่อยทิ้งเอาไว้ตามท้องถนนของเมือง
โพสเทเลแกรมจากฝั่งยูเครนเผยหลักฐานการสังหารหมู่ที่เกิดในเมืองบูชา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1036
จากรายงานข่าวมากมายและการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างแสดงความเสียใจและโศกเศร้าต่อการจากไปของผู้คนเหล่านั้น ที่คาดการณ์ว่าถูกทหารรัสเซียสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมระหว่างที่พวกเขานั้นทำการยึดครองเมืองบูชาเอาไว้ มีรายงานว่าประชาชนหรือผู้คนจำนวนมากถึง 300 กว่าชีวิตนั้นเสียชีวิตไป และร่างของพวกเขานั้นถูกทิ้งกองเต็มถนนของเมืองเต็มไปหมด
นับเป็นเหตุการณ์อาชญากรรมสงครามที่โหดเหี้ยมที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองบนแผ่นดินยุโรป ทำเอาองค์การสหประชาชาติ (United Nation หรือ UN) และประชาคมโลกต่างประนามการกระทำอันสุดป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรมของรัสเซียที่กระทำการกับประชาชนผู้บริสุทธิ์มากมายในพื้นที่เขตสงครามที่ไร้ทางสู้ ขณะที่พวกเขานั้นยึดครองและภายหลังได้ทำการถอนกำลังอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะพยายามเสนอให้มีการสอบสวนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) โดยทางฝั่งรัสเซีย แต่ทว่าคำขอเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธไประหว่างการประชุมเพราะความโกรธและไม่พอใจของทุกฝ่ายที่มองเห็น โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกและยูเครนที่เห็นว่า กองทัพรัสเซียนั้นพึ่งกระทำผิดกฏหมายสากลและหลักสิทธิมนุษยชนไปหมาด ๆ หลังจากนั้นเองเหตุการณ์ในเมืองบูชาเลยได้ถูกนำไปใช้งานเป็นข้อเท็จจริงและบริบทต่าง ๆ โดยฝ่ายยูเครนใช้ในการประนามการกระทำและคว่ำบาตรรัสเซียมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากหลายประเทศทั่วโลก
หลังเวลาผ่านไปมามากกว่า 2 ปีแล้วนั้นเอง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2024 ตัวอย่างภาพยนตร์ระทึกขวัญดราม่าสัญชาติยูเครนในชื่อเรื่องว่า Bucha ก็ได้ถูกปล่อยออกสู่สาธารณะชนเป็นบนโลกอินเทอร์เน็ตครั้งแรก เล่าเรื่องจริงพยานผู้อพยพชาวยิวจากคาซัคสถาน (Kazakhstan) ที่อาศัยอยู่ในเมืองบูชาคอยแอบให้การช่วยเหลือชาวยูเครนในเมือง ขณะที่พวกเขาต้องคอยอยู่ภายใต้การยึดครองโดยทหารรัสเซียในช่วงเวลาเดือนมีนาคม ปี 2022 และจะถูกเข้าฉายในโรงภาพยนต์ในวันที่ 7 พฤศจิกายนเริ่มจากในยูเครนเอง
โปสเตอร์หนังสัญชาติยูเครนเรื่อง Bucha ที่จะเข้าฉายเมื่อวันที่ 7 พฤศิกายน 2024 - ที่มา: https://www.imdb.com/title/tt24373036/
เป้าหมายของภาพยนต์นี้นั้นนอกจากจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของคนปิดทองหลังพระแล้วนั้น เรื่องราวของหนังนั้นจะเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองบูชาตลอดวันที่ 12–30 มีนาคม ก่อนที่ทหารรัสเซียจะถอนกำลังออกไป เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความเป็นไปได้ที่ทหารรัสเซียนั้นได้กระทำการสังหารหมู่ชาวยูเครนในเมือง
ภาพยนต์เรื่องนี้นั้นได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกมากมายในฐานะหนึ่งในภาพยนต์ต่อต้านสงคราม (Anti-war film) และสารคดีที่จะช่วยเป็นการย้ำเตือนถึงความโหดร้ายที่ทหารรัสเซียนั้นเคยกระทำ และยังคงกระทำกับชาวยูเครนอยู่ในปัจจุบันนี้กับสงครามอันสุดโหดร้ายครั้งนี้
อย่างไรก็ตามแม้จะมีรายงานสรุปมากมายจากหลายสำนักข่าว เหตุการณ์ถูกบันทึกจากทางการของรัฐบาลยูเครน และยิ่งไปกว่านั้นภาพยนต์ระทึกขวัญ เราก็ยังไม่ได้คำตอบอันแน่ชัดว่า มันคือการสังหารหมู่จริงหรือไม่ การกระทำของทหารรัสเซียนั้นมันสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขาตั้งแต่แรกหรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้นอะไรบ้างจากมุมมองของทหารและรัฐบาลรัสเซียที่เห็นตลอดมาที่ไม่ได้ถูกเผยแพร่ ปิดกั้น หรือเซนเซอร์เอาไว้จากทางตะวันตกตลอดเวลา
เพราะทุกครั้งหลังจากที่ข่าวได้ถูกเผยแพร่ ทางรัฐบาลรัสเซียและหลายช่องข่าวรัฐและอิสระมากมายต่างได้ออกมาพยายามพูดแก้ต่างในทันทีถึงเหตุการณ์นี้ที่พวกเขามองว่า มันคือการจัดฉากมากกว่า เพราะจากการสืบค้นของพวกเขาได้พบกับพยานและรายงานจากทางทหารรัสเซียอย่างใกล้ชิดออกมาช่วยยืนยันว่า การสังหารหมู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงในวันที่พวกเขาอยู่และระหว่างการถอนกำลังออกจากเมือง และยิ่งไปกว่านั้นมีหลักฐานบางอย่างได้หลุดออกมาด้วยจากสื่อทางตะวันตกในปี 2022 จากพยานคนสำคัญที่อยู่ในพื้นที่พอดี
ดังนั้นแล้วสำหรับข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่อไปนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถแก้ไขให้ใครสามารถฟื้นกลับมาได้เพื่อบอกความจริง แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยไขความกระจ่างได้สำหรับหลายคนที่อยากจะได้คำตอบหรือความจริงว่า อาชญากรรมสงครามในครั้งนี้นั้นมันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และมันเกิดจากฝีมือของใครกัน โดยจะทำการเรียงลำดับของเหตุการณ์ของเมืองจากหลายแหล่งต่อไปนี้ เพื่อทำการประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดให้มีความกระจ่างกับทุกคนมากยิ่งขึ้นว่า ความจริงของการสังหารหมู่เมืองบูชานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
โดยข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้จะไม่มีการปิดกั้นหรือเซนเซอร์เพื่อให้ทุกคนได้คำตอบเหมือนกันและอย่างเท่าเทียมกัน
**คำเตือน: เนื้อหาต่อจากนี้ไปเต็มไปด้วยภาพที่ส่อถึงความรุนแรงที่อาจก่อให้เกิดความหดหู่และความรู้สึกด้านลบกับผู้อ่านทุกคน และข้อมูลบางอย่างได้ถูกปิดกั้นไปแล้วในปัจจุบันนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม**
1. ลำดับเวลาของเหตุการณ์สำคัญ
วันที่ 30 มีนาคม:
วันที่ทหารรัสเซียทำการถอนกำลังจากคำสั่งกองบัญชาการสูงสุดออกจากพื้นที่รอบกรุงคีฟ หนึ่งในเมืองที่พวกเขานั้นยังทำการยึดครองมาอยู่นั้นก็คือ บูชา โดยสาเหตุเกิดขึ้นมาจากการตกลงเจรจาสันติภาพ ณ กรุงอิสตันบูล (Istanbul) ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และเพื่อทำการโยกย้ายกำลังพลทั้งหมดไปยังพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน
นักข่าวสงครามชื่อ อเล็กซานเดอร์ คอตส์ (Alexander Kots) ที่อยู่และติดตามกองทัพรัสเซียได้เป็นผู้รายงานเองในสถานที่เมืองว่า ทหารรัสเซียเริ่มทำการทยอยการถอนกำลังแล้วเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ และในวันที่ 30 นี้เองก็คือวันที่ทหารรัสเซียคนสุดท้ายนั้นได้ถอนกำลังออกจากพืิ้นที่เมืองไป
อีกด้านของพื้นที่ปะทะของแนวรบ ทางด้านกองทัพยูเครนยังไม่รู้ถึงข่าวการถอนกำลังของทหารรัสเซีย และยังคงทำการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ใส่พื้นที่นั้นเป็นเวลาต่อเนื่องกระทั่งวันที่ 31 ส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตพลเรือนจำนวนหนึ่งในระหว่างการยิงถล่ม และบ้านหลายหลังได้รับความเสียหาย
วันที่ 31 มีนาคม:
หลังจากการออกจากเมืองไปหมดของกองทัพรัสเซีย ทางด้านผูัว่าของเมืองบูชา นายอานาโตลี เฟโดรุก (Anatoli Fedorouk) ได้ทำการเผยแพร่วิดีโอของตนเอง แสดงความดีใจและฉลองกับการถอนกำลังของทหารรัสเซียทุกคนออกจากเมืองบูชาไปแล้ว ภายในวิดีโอนั้นเองเขาไม่ได้มีการเปิดเผยถึงสิ่งร้าย ๆ อะไรต่าง ๆ หรือการสังหารหมู่ใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากในตัวเมือง นายกเทศมนตรีของเมืองตลอดในวิดีโอนั้นต่างทำการยิ้มและพูดถึงชัยชนะของทางฝ่ายยูเครน และอื่น ๆ ที่ดีกับเมืองของเขา
และตลอดในวิดีโอนั้นเองเขาไม่ได้มีการกล่าวใด ๆ ถึงเหตุการณ์การสังหารหมู่ ไม่มีการพูดถึงความสูญเสียชีวิตของพลเรือนแม้แต่คนเดียว ไม่มีการพูดถึงอะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวกับเรื่องที่ควรจะทำการรายงานกลับไปยังทางการของยูเครนถึงเรื่องการกระทำที่ไม่ดีของรัสเซียต่อพลเรือนในเมืองของเขา ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในพื้นที่เมืองบ้าง
ขณะเดียวกันช่องเทเลแกรม (Telegram) ของยูเครนที่ชื่อว่า Bucha Live ที่ทำการรายงานข่าวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองบูชา แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงความสูญเสียชีวิตพลเรือนระหว่างวันที่ 29–31 มีนาคมเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่ควรจะมีรายงานใด ๆ ถึงสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการรายงานข่าวตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
โพสเทเลแกรมของช่อง Readovka รายงายถึงช่อง Bucha Live วันที่ 4 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/readovkanews/30021
วันที่ 1 เมษายน:
วิดีโอของทวิตเตอร์ (Twitter หรือ X) โดยบัญชีที่เป็นของหญิงนิรนามชาวยูเครนได้ถูกเผยแพร่ ภายในวิดีโอนั้นเธอบอกว่า เธอได้รับข่าวมาจากน้องชายของเธอ โดยเป็นข้อความภาพวิดีโอของศพคนเสียชีวิตตายถูกปล่อยทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มถนนของเต็มไปหมด (เจ้าของโพสและบัญชีเข้าถึงไม่ได้แล้ว) กระทั่งมาถึงวินาทีที่ 8 ของวิดีโอ ในวิดีโอนั้นมีหลุมระเบิดที่คาดว่ามาจากปืนครก (Mortar) ปรากฏอยู่ทางกราบขวาของถนนของเมือง
และในพื้นที่ถัดจากนั้นไปนั้นเอง มีหลายศพเกลื่อนเต็มพื้นที่ไปหมดห่างจากหลุมระเบิดไปไม่กี่เมตรรอบ ๆ ซึ่งช่วยบ่งบอกได้ว่า เหยื่อเสียชีวิตเหล่านี้นั้นตายจากกระสุนปืนครกจริง ๆ คาดการณ์ว่ามาจากฝ่ายของยูเครนที่ยิงถล่มในช่วงก่อนหน้านั้นที่เกิดในเร็ว ๆ นี้ และจากการสังเกตไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่บ่งบอกได้ว่า ศพแต่ละศพนั้นตายจากกระสุนปืนเข้าที่หัว นอกจากนี้ศพเหล่านั้นไม่ได้ถูกผูกมัดมือไขว้หลังด้วยเหมือนกับศพที่เห็นได้ทั่วไปในข่าวต่าง ๆ ทั่วโลก
ขณะเดียวกันทหารยูเครนและทหารของกองพันนีโอนาซี (Neo-Nazi) ชื่อว่า ‘อาซอฟ’ (Azov Battalion) ของยูเครนพึ่งเดินทางมาถึงเมืองบูชาอีกด้วยจากรายงานที่มีคนพบเห็น หลังจากที่เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ทางนายกเทศมนตรีของเมืองบูชานั้นทำการประกาศชัยชนะและออกอาการดีใจ
วันที่ 2 เมษายน:
หน่วยตำรวจซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นหน่วยพิเศษซาฟารี (SAFARI) ของยูเครนปรากฏตัวในเมืองเพื่อกระทำการ ‘เริ่มต้นปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อวินาศกรรมและผู้สมรู้ร่วมคิดของรัสเซียในเมืองบูชา’ (Special Forces Regiment SAFARI Begins Clearing Operation in Bucha from Saboteurs and Accomplices of Russia)
โดยพวกเขาทำการเผยแพร่วิดีโอยาว 7 นาทีกว่าถึงการเดินทางมายังเมืองบูชา ภายในวิดีโอนั้นมีการพบเห็นศพผู้เสียชีวิตเพียงหนึ่งศพเท่านั้น ตลอดถนนที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเดินทางผ่านตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของวิดีโอ และจากสภาพของศพนั้นเอง หากสังเกตดี ๆ มันคือสภาพศพที่เกิดจากการถูกระเบิดตกใส่
พาดหัวข่าววันที่ 2 เมษายน 2022 ของสำนักข่าวแอลบี (LB) ของยูเครนรายงานถึงการมาของหน่วยรบพิเศษในพื้นที่เมืองบูชา เพื่อเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างในเมืองต่อ - ที่มา: https://en.lb.ua/news/2022/04/02/12441_special_forces_regiment_safari.html
ทางด้านโพสเทเลแกรมจากช่องของรัสเซียได้มีข้อมูลบางอย่างหลุดออกมาจากฝั่งของยูเครน ข้อความมีใจความต่อไปนี้
“แหล่งข่าวจากสำนักงานประธานาธิบดี (Presidential Office) ได้บอกมาว่ามันมีเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่มาจากเมืองบานโควา (Bankova) เกี่ยวกับวิดีโอของหน่วยตำรวจ ที่ซึ่งได้ถูกเผยแพร่ออนไลน์ตามคำสั่งของนายแอนตัน เกราชเชนโก (Anton Guerashchenko) เพื่อทำการเก็บกวาดเมืองบูชา ภายในวิดีโอนี้เองได้แสดงความขัดแย้งของภาพถ่ายของคนที่ถูกฆ่าที่ได้กลายเป็นที่โด่งดังเมื่อวานนี้ แต่มีการทำขึ้นสองวันหลังจากการการกวาดล้างและไม่ได้รวมอยู่ในรายงานของตำรวจรัฐ
นี่ทำให้เกิดการตั้งคำถามโดยนายอาเรสโตวิช (Arestovich) (ที่ปรึกษาของประธาราธิบดียูเครน ณ เวลานั้น) มองว่าการกระทำของเกราชเชนโกนั้นเป็นการกระทำยั่วยุโดยเจตนา เนื่องจากวิดีโอดังกล่าวทำให้เกิดคำถามมากมายว่าทำไมถึงไม่มีผู้เสียชีวิตบนท้องถนน และนายกเทศมนตรีรายงานเฉพาะเกี่ยวกับปฏิบัติการกวาดล้างเท่านั้น”
- ข้อความแปลจากโพสต้นฉบับ https://t.me/epoddubny/9396
โพสเทเลแกรมรายงายถึงหน่วยตำรวจยูเครน วันที่ 4 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/epoddubny/9396
ภายในวันเดียวกันนั้นเองหัวหน้าฝ่ายป้องกันดินแดนของแคว้นคีฟ นายเซอร์เกย์ โครอตคิค (Sergei Korotkikh) ผู้ที่เคยสู้รบในกองพันอาซอฟ และซึ่งเขามีชื่อเล่นว่า ‘บอตสแมน (Botsman)’ ได้ทำการเผยแพร่วิดัโอหลายคลิปที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขากับลูกน้อง ที่ทำการออกเดินสำรวจและตรวจสอบเมืองหลังจากทหารรัสเซียนั้นออกไปแล้ว และทิ้งซากอาวุธของพวกเขาเอาไว้
โพสเทเลแกรมของบอสตแมน วันที่ 3 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/botsman_ua/16178
ระหว่างการเดินตรวจสอบพื้นที่นั้นเอง พวกเขาพบกับศพของคนเสียชีวิตบนถนนบ้าง และอาคารมีศพที่ปรากฏในพื้ืนที่น่าจะเป็น ห้องซ้อมทรมานเชลยศึกในเมือง ในบรรดาศพเหล่านั้นพวกเขาเหล่านั้นต่างสวมปลอกแขนสีขาว ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นประชาชนทุกคนในพื้นที่เขตที่ทหารรัสเซียนั้นควบคุมหรือยึดครองอยู่จะทำการสวมเอาไว้ เพราะเป็นเครื่องหมายสำคัญในการระบุว่าใครเป็นทหารหรือคนที่ไม่เป็นภัยต่อการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย ซึ่งปลอกแขนนี้นั้นมีการแสดงออกทั่วทุกพื้นที่สู้รบในยูเครน
โพสเทเลแกรมจากช่องรัสเซียกล่าวถึงเรื่องของทหารยูเครนยิงคนที่สวมปลอกแขนสีขาว แม้แต่พลเรือนที่ไร้อาวุธทุกคน วันที่ 3 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/sashakots/30761
ขณะเดียวกันนั้นเองมีรายงานภายเมืองปรากฏออกมาดังต่อไปนี้ อ้างอิงจากอัยการสูงสุด นายเวเนดิกโตวา (Venediktova) รายงานว่าพบศพผู้คนจำนวนมากถึง 410 ศพ และนายกเทศมนตรีของเมืองบูชาได้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) ทางโทรศัพท์ว่า มีการค้นพบศพจำนวน 280 ศพถูกฝังลงในหลุมฝังศพหมู่ อย่างไรก็ตามทางผู้สื่อข่าวกลับพบเจอศพเพียง 24 ศพเท่านั้น และทางสำนักข่าวเอพี (Associated Press) ก็ประกาศว่า พบศพจำนวน 20 ศพตามท้องถนนของเมืองเกลื่อนไปหมด
วันที่ 3 เมษายน:
ช่วงเวลาที่หลักฐานการสังหารหมู่ปรากฏออกในสื่อโซเชียลมีเดียของทุกฝ่าย จากรายงานการค้นพบศพจำนวนมากจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีรายงานอย่างแน่นอนหรือชัดเจน มันได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วโลกอย่างล้นหลาม โดยในรายงานข่าวสำคัญนั้นมีภาพถ่ายที่มีการพบเจอศพทั้งหมด 4 จุดใหญ่ประกอบด้วย
1) เริ่มต้นจากศพของผู้คนจำนวน 20 คนในพื้นที่ถนนยาบลอนสกายา (Yablonskaya Street) โดยถนนนี้นั้นในพื้นที่มีการค้นพบหลุมระเบิดข้างถนน
2) พื้นที่ที่สองต่อมาอย่างพื้นที่ฝังศพรวมใกล้กับโบสถ์เซนต์อังเดรย์ (St Andrei) มันการขุดร่องลึกทางยาวเอาไว้โดยเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่ร่วมกันขุดร่วมกับทหารรัสเซีย เพื่อที่จะทำการฝังศพของพลเรือนที่ตายระหว่างการเจรจาของทั้งสองฝ่าย อ้างอิงจากวิดีโอที่เผยแพร่มันมีศพทั้งหมด 67 ศพปรากฏ
ภาพถ่ายจากหลุมฝังศพรวมในเมืองบูชา - ที่มา: https://burningblogger.com/2022/04/08/what-really-happened-in-bucha-who-did-it-when/
โพสทวิตเตอร์รายงานถึงพื้นฝังศพรวม คาดการณ์ว่าโพสเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เมษายน - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1187
3) พื้นที่ที่สามมีทั้งหมด 9 ศพ มันอยู่ใกล้ ๆ และในตัวของอาคารที่น่าจะเป็นที่ทำการทางการทหารของกองทัพรัสเซีย หนึ่งในคนตายนั้นมีการถูกมัดมือไขว้หลังเอาไว้โดยใช้เทปและฟิล์มยึดเกาะ และหนึ่งในบรรดาศพเหล่านี้อีกที่มีร่องรอยของกระสุนปืนยิงที่หัวเข่า
4) ภาพถ่ายศพของพลเรือนบนทางหลวงชิโตเมียร์ (Zhitomir highway) ไม่ทราบจำนวน ซึ่งแท้จริงแล้วนี่คือสถานที่เดียวกับที่ถ่ายทำวิดีโอเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งแสดงให้เห็นการยิงต่อสู้ระหว่างสมาชิกกองพันที่เรียกว่ากองกำลังป้องกันอาณาเขต
วันที่ 4 เมษายน:
บทความของนิวยอร์คไทม์ถูกเผยแพร่ออกมา เปิดเผยให้เห็นถึงหนึ่งในหลักฐานสำคัญอย่าง ภาพถ่ายดาวเทียมเหนือเมืองบูชา ถ้ามีการสังเกตดูดี ๆ จะพบกับศพจำนวนหนึ่งที่ปรากฏตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ก่อนการล่าถอยของรัสเซียเมื่อวันที่ 30 มีนาคม
ภาพถ่ายดาวเทียมเหนือเมืองบูชาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และ 19 มีนาคม - ที่มา: https://www.nytimes.com/2022/04/04/world/europe/bucha-ukraine-bodies.html
เป็นเวลาเดียวกันกับที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียประจำวันที่ 4 เมษายน ถึงเหตุการณ์อันสุดอื้อฉาวในเมืองบูชา และยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานข่าวว่า รัฐบาลรัสเซียนั้นขอให้มีการสอบสวนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถึงกรณีที่เกิดขึ้นไป ทว่าภายหลังถูกปัดตกและไม่ได้รับความสนใจอีกเลยจากนั้น
พาดหัวข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ถึงเรื่องรัสเซียขอให้ยูเอ็นเข้ามาทำการสอบสวน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2022 ในเหตุการณ์อันสุดอื้อฉาวในเมืองบูชา - ที่มา: https://www.reuters.com/world/europe/russia-ask-un-security-council-again-discuss-bucha-provocations-2022-04-04/
ไม่ว่าทางรัสเซียหรือความสงสัยจากหลาย ๆ คนว่ามันจริงหรือไม่จริงมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วจากนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นจากข่าวคราวและหลักฐานที่หลุดมาจากสำนักข่าวกลางของหลายประเทศ และข่าวจากกลุ่มที่สนับสนุนยูเครนก็ต่างออกมาช่วยกันยืนยันในทันทีว่า มันคือเรื่องจริงมากกว่าจริงแม้ว่าจะมีรายงานที่ไม่เป็นทางการมากมายมาพอช่วยในการเปิดมุมมองก็ตาม
ไม่มีการสืบสวนจากทางยูเอ็นหรือใครก็ตามที่ต้องเข้ามาทำการสอบสวน จากศพคนตายมากมายที่ตายไปแล้วไม่ว่าคาดการณ์ว่าจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีปลอกแขนสีขาวหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่จะมีอะไรหรือไม่ก็ตามในพื้นที่เมืองบูชา พวกเขาทุกคนคือประชาชนยูเครนที่ถูกยิงตายโดยทหารรัสเซียที่ทำการก่ออาชญากรรมสงครามกับชาวยูเครนเหล่านั้น
หลักฐานโต้แย้ง
หลังจากทุกอย่างถูกเผยแพร่ผ่านสื่อและหลายช่องทางหลักของกลุ่มสนับสนุนไปแล้วนั้น ทุกอย่างเหมือนจะจบลงไปอย่างสิ้นเชิงสำหรับการโต้เถียงเหตุการณ์อื้อฉาวในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามทุกอย่างที่ปรากฏออกมานั้นหากทำการย้อนกลับไปสืบสวนหรือทบทวนแต่ละรายงานของทั้งสองฝ่ายดี ๆ ปรากฏว่าคำอธิบายหลายอย่างที่ทางการและผู้สนับสนุนยูเครนนั้นปล่อยออกมา มันไม่มีความสมเหตุสมผลไปหมดบางอย่างมันย้อนแย้งสุด ๆ จากหลักความจริง และเปิดเผยมุมมองบางอย่างถึงข้อเท็จจริงที่หลายคนอาจจะไม่รู้ หลักฐานย้อนแย้งที่สำคัญประกอบด้วย
วันที่ 2 เมษายน:
จากรายงานการมาถึงของนายเซอร์เกย์ โครอตคิค (Sergei Korotkikh) หรือที่รู้จักในชื่อ ‘บอตสแมน’ กับลูกทีมของเขาในวิดีโอที่สองของเขากับลูกน้อง ภายในวิดีโอที่สองระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงวินาทีที่ 6 นั้นเอง หากเราทำการเปิดเสียงสุด ๆ เราจะได้ยินเสียงคนของเขานั้นถามเพื่อนในทีมว่า ตัวของเขานั้นสามารถยิง ‘กลุ่มคนที่ไม่มีปลอกแขนสีน้ำเงิน’ ได้หรือไม่? จากคำถามนั้นเองทางด้านนายโครอตคิคก็ได้ตอบอย่างจงใจว่ายินให้ทำได้
สำหรับคนที่ไม่รู้: ปลอกแขนหรือเทปสีน้ำเงินถูกติดเอาไว้แสดงออกเพื่อการระบุว่าใครเป็นทหารยูเครนบ้าง เนื่องจากสงครามมักจะเกิดความสับสนได้ง่ายในสีเครื่องแบบที่คล้ายกันระหว่างทั้งสองฝ่าย
แม้จะไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากบางแหล่งได้มีการบอกว่า หากเราทำการเปิดเสียงสุดและเข้าใจในภาษาต้นฉบับ เราอาจจะได้ยินเสียงของคนในพื้ืนที่ร้องขออย่ายิงพวกเขาเลยและก็มีเสียงปืนตามมา
จากวิดีโอนี้มีคนได้อธิบายเอาไว้ว่า เนื่องจากกล้องวิดีโอแบบโกโปร (Go-pro) ที่ทหารและหน่วยตำรวจนั้นใช้กัน คุณภาพของไมโครโฟนนั้นค่อนข้างแย่ และถ้าหากว่าทำการลดเสียงลงอย่างมากและระหว่างการตัดต่อบางครั้ง มันอาจจะไม่ได้ยินเลย
จากการสำรวจก็พบกับศพที่มีปลอกแขนสีขาวปรากฏในพื้ืนที่ห้องซ้อมทรมานเฉลยศึก อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ทุกคนที่สวมปลอกแขนหรือผูกผ้าสีขาวที่แขนในพื้นที่การยึดครองของรัสเซียนั้นคือ พลเรือน
ซึ่งปลอกแขนนี้คือเครื่องหมายสำคัญ เพื่อใช้ในการระบุว่าใครเป็นทหารหรือพลเรือนธรรมดาที่ไม่เป็นภัยต่อการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตามมันมีอีกความหมายที่ใช้ในการแสดงออกสำหรับรัสเซียแล้วนั้นก็คือ ผู้คนเหล่านั้นคือประชาชนที่ฝักใฝ่หรือสมรู้กับฝ่ายรัสเซีย ซึ่งตัวปลอกแขนหรือผ้าสีขาวนี้มีการแสดงออกทั่วทุกพื้นที่สู้รบตลอดทั้งยูเครน เช่น มารียูปอล
ตัวอย่างพลเรือนในพื้นที่ที่ทหารรัสเซียนั้นยึดครองแล้วในเมืองมรียูปอล สังเกตผ้าสีขาวที่แขน หรือหากสังเกตที่รถบางคันจะมีผ้านี้ในการแสดงแทนที่จะทำการติดหรือพันที่แขน และบางคันก็มีการติดกระดาษเขียนเพื่อบ่งบอกว่า รถคันไหนคือของพลเรือนผู้อพยพจากเมือง - ที่มา: https://t.me/intelslava/22640 และ https://t.me/intelslava/22586
จากตัวอย่างของเมืองมารียูปอลนั้นเองพอจะช่วยทำความเข้าใจได้ว่า คนตายเหล่านั้นโดนคร่าว ๆ ว่า พวกเขาเป็นพลเรือนและอย่างแน่นอนเมื่อพิจารณาเครื่องแบบ และบางคนนั้นเป็นพลเรือนฝักใฝ่รัสเซียที่เสียชีวิตไป ทว่ามาจากสาเหตุอะไรบ้างและใครเป็นผู้กระทำจากภาพถ่ายที่เห็นจากวันที่ 2 เมษายน
ผู้ต้องสงสัยที่ใกล้เคียงนั้นก็คือ ทหารและหน่วยตำรวจยูเครนที่เข้ามาในเมืองวันเดียวกันนี้เอง หรืออาจจะก่อนหน้านั้นที่พวกเขากระทำการยิงปืนใหญ่ใส่แล้วเกิดผู้เสียชีวิต เพราะถ้าว่ากันตามหลักความจริงแล้วนั้น ทหารรัสเซียจะได้รับผลประโยชน์อะไรมากที่สุดจากการกระทำเหล่านั้น
บางคนอาจจะหาเหตุผลมาอ้างได้ว่า ทหารรัสเซียเหล่านั้นอาจจะพบว่า พลเรือนเกิดการต่อต้านฝ่ายตนจนนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงจนทำให้พวกเขาต้องสังหารเฉลยเพราะความจำเป็นเรื่องนั้น แต่ถึงจะอย่างงั้นไปการสังหารพลเรือนที่ไร้อาวุธและทางจะขัดขืนต่อสู้ใด ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามนั้น มันสร้างความสับสนได้
และอย่างสุดท้ายที่อาจจะทำเราสงสัยมากขึ้นกว่าได้อย่าง ในพื้นที่วันนั้นมีการพบเจอศพพลเรือนมากถึง 67 ศพ ในพื้นที่ฝังรวม, อีก 20 ศพในพื้นที่ถนนยาบลอนสกายา (Yablonskaya Street) และ 9 ศพสุดท้ายในพื้นที่ที่ทำการของทหารรัสเซีย เมื่อทำการคำนวณรวมแล้วนั้น มันห่างไกลจากตัวเลขกล่าวอ้างที่สูงมากถึง 410 ศพจากปากของทางการยูเครน และสิ่งที่รายละเอียดรายงานเหล่านี้ที่ไม่ได้ระบุไว้นั้นก็คือ ศพแต่ละศพนั้นตายกันยังไงบ้างทั้งบนท้องถนนและในห้องซ้อมทรมาน
วันที่ 4 เมษายน:
หลักฐานโต้แย้งกับเรื่องจุดที่ค้นพบศพทั้ง 4 จุดและพื้นที่ในเมืองอื่น ๆ ที่ปรากฏออกมาเพิ่มของเมื่อวันที่ 2 เมษายน ประกอบด้วย
เริ่มต้นจากศพของผู้คนจำนวน 20 คนในพื้นที่ถนนยาบลอนสกายา โดยถนนนี้นั้นในพื้นที่มีการค้นพบหลุมระเบิดข้างถนน หลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุรบ่งบอกได้คร่าว ๆ ว่ามันเกิดจากฝ่ายยูเครนที่ยิงปืนใหญ่ใส่เพราะจากหลุมระเบิด มีรายงานว่าศพเหล่านี้ถูกทิ้งเอาไว้กระทั่งวันที่ 3 เมษายนที่มีการรายงานข่าวการค้นพบ
สำนักข่าวบีบีซี (BBC) รายงานเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ กระทั่งวินาทีที่ 16 ของวิดีโอ ช่างภาพได้จับภาพไปเห็นกระสุนปืนครกติดอยู่ในยางมะตอยของพื้นถนน ที่ภายหลังเมื่อมีการระบุตำแหน่งแล้วนั้นจะบ่งบอกได้ว่า กระสุนนี้มันยิงมาจากทางใต้ของเมือง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นของรัสเซียเอง แต่กลับเป็นของฝ่ายยูเครน
ภาพถ่ายถนนยาบลอนสกายา (Yablonskaya Street) ขณะที่มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจสอบพื้นที่ สังเกตที่มุมขวาของภาพที่จะพบกับกระสุนปืนครกปักอยู่บนพื้นถนนยางมะตอย - ที่มา: https://t.me/rybar/30423
แผนที่ระบุตำแหน่งที่มีการค้นพบศพในเมืองบูชาจากภาพถ่ายและวิดีโอของสื่อต่าง ๆ - ที่มา: https://www.donbass-insider.com/2022/04/04/ukraine-the-massacre-of-bucha-a-ukrainian-timisoara/
พื้นที่ฝังศพรวมใกล้กับโบสถ์เซนต์อังเดรย์ (St Andrei) มันการขุดร่องลึกทางยาวเอาไว้โดยเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่ร่วมกันขุดร่วมกับทหารรัสเซีย สาเหตุที่ต้องมีการฝังศพรวมนั้นก็เพราะห้องดับจิตของโรงพยาบาลท้องถิ่นนั้นเต็มแล้ว เพื่อที่จะทำการฝังศพของพลเรือนที่ตายระหว่างการเจรจาของทั้งสองฝ่าย จากการตรวจสอบร่องหลุมถูกขุดช่วงระหว่างกลางเดือนมีนาคม ไม่ใช่ช่วงปลายเดือนระหว่างวันที่ 29–30 มีนาคม ดังภาพและวิดีโอที่ปรากฏจากลิงค์ข้างล่างที่มาจากวันที่ 12 มีนาคม
พาดหัวข่าวจากสำนักข่าวเอสเปรโซ่ (Espreso) กล่าวถึงการฝังศพประชาชนจำนวนมากในเมืองบูชา ข่าวรายงานเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2022 - ที่มา: https://global.espreso.tv/dozens-of-civilians-are-buried-in-a-mass-grave-near-the-church-in-bucha-there-are-unidentified
เรียนรู้เพิ่มเติม: https://x.com/antiwar_soldier/status/1512981672022753286
จากภาพในวิดีโอนั้นเอง สภาพศพของผู้เสียชีวิตนั้นต่างมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และถูกใส่เอาไว้ในถุงอย่างมิดชิด ทำให้มองไม่เห็นว่าพวกเขาตายจากอะไร แต่จากการสันนิฐานคร่าว ๆ ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นในวันที่ 12 มีนาคมจริง ๆ ซึ่งก็คือวันที่ทหารรัสเซียนั้นทำการยึดเมืองเอาไว้ได้ในการครอบครอง ทหารยูเครนนั้นอาจจะยิงโจมตีจากระยะไกลด้วยปืนใหญ่ เป็นไปได้ว่าศพคนเหล่านี้ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าไหรกันแน่เพราะรายงานต่าง ๆ และปฏิกิริยาของตำรวจที่สัมภาษณ์นั้นเหมือนจะสับสนอย่างมากเมื่อถามถึงจำนวนศำมากถึง 300 ศพ
โดยศพเหล่านี้ในสภาพถูกเก็บในถุงห่อศพอย่างดีแล้วนั้น พวกเขาเหล่านี้เป็นพลเรือนหรืออาจจะทหารรวมกันด้วยจริง ๆ แต่ไม่ได้ตายจากกระสุนปืนเข้าที่หัว แต่ว่าตายจากการถูกยิงถล่ม เพราะมันสมเหตุสมผลกว่าที่เมื่อทหารรัสเซียที่พึ่งเข้ามา และทางยูเครนต้องการชะลอการครอบครองพื้นที่เมืองเอาไว้ด้วยปืนใหญ่ แต่จะอย่างนั้นความเป็นไปได้ก็ยังมีอยู่ที่อาจจะมีการตายจากกระสุนปืนเข้าที่หัว
พื้นที่ที่สามมีทั้งหมด 9 ศพ ที่อยู่ใกล้ ๆ และในตัวของอาคารที่น่าจะเป็นที่ทำการทางการทหารของกองทัพรัสเซีย หนึ่งในคนตายนั้นมีการถูกมัดมือไขว้หลังเอาไว้โดยใช้เทปและฟิล์มยึดเกาะ ถ้าเราทำการวิเคราะห์วัสดุที่มีการใช้แล้วนำไปเปรียบเทียบกับวิดีโอของฝั่งประชาชนยูเครนหลายวิดีโอ
เราจะค้นพบว่ามันคือวัสดุแบบเดียวกันกับที่ชาวยูเครนทั่วไปนั้น ใช้ในการผูกมัดผู้คนที่ตนนั้นมองว่าเป็นทรยศหรือต้องการลงโทษ ทำการใช้มันพันคนเหล่านั้นกับเสาไฟแล้วจากนั้นทำการถอดเสื้อผ้าพวกเขาหรือทุบตีหรือถ่ายภาพประจานลงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากทำการค้นหาจากช่วงเวลานั้นในอินเทอร์เน็ตจากฝั่งยูเครนเราจะพบเจอได้
และต่อมาศพเจ้าปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดจากคำกล่าวอ้างว่ามันคือการกระทำของรัสเซีย เมื่อเรานั้นทำการตรวจสอบวิดีโอการกระทำป่าเถื่อนกับเฉลยศึกชาวรัสเซียของฝ่ายยูเครนแล้วนั้นเอง เราจะพบได้ว่ามันคือการกระทำลักษณะเดียวกันอย่าง การยิงปืนใส่ที่เข่าอย่างเลือดเย็นก่อนจะปล่อยเหยื่อนั้นเลือดไหลปางตาย แม้จะไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจริงหรือไม่ที่ทหารรัสเซียกระทำหรือทหารยูเครนนั้นกระทำ แต่จากหลักฐานของศพรายนี้อาจจะพอช่วยให้มุมมองคร่าว ๆ ได้ว่า ใครอาจจะเป็นผู้กระทำผิดกับพลเรือนรายนี้ที่แท้จริง
ภาพถ่ายจากจุดเกิดเหตุในอาคารที่ทำการของทหารรัสเซียในเมืองบูชา - ที่มา: https://www.donbass-insider.com/2022/04/04/ukraine-the-massacre-of-bucha-a-ukrainian-timisoara/
ภาพถ่ายจากจุดเกิดเหตุในอาคารที่ทำการของทหารรัสเซียในเมืองบูชา - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1106
เรียนรู้เพิ่มเติม: วิดีโอและภาพของการกระทำประหลาดของชาวยูเครน
พาดหัวข่าวจากสำนักข่าวแอนตี้-เอ็มไพย์ (Anti-Empire) ลงข่าวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2022 ถึงเทรนด์ของชาวยูเครนที่กระทำการจับคนมามัดกับเสาหรือต้นไม้ด้วยเทปและฟิล์มยึดเกาะ เพื่อเป็นการประจานต่อหน้าสาธารณชน - ที่มา: https://anti-empire.com/new-ukrainian-trend-tying-people-to-trees-flogging-and-undressing-them/
พาดหัวข่าวจากสำนักข่าวมิเรอร์ (Mirror) ลงข่าวเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2022 ถึงเทรนด์ของชาวยูเครนที่กระทำการจับคนมามัดกับเสาหรือต้นไม้ด้วยเทปและฟิล์มยึดเกาะ เพื่อเป็นการประจานต่อหน้าสาธารณชน - ที่มา: https://www.mirror.co.uk/news/world-news/looter-tied-up-humiliated-trying-26415293
ตัวอย่างภาพรุนแรงของการยิงเฉลยศึกรัสเซียโดยทหารยูเครน - ที่มา: https://t.me/NeoficialniyBeZsonoV/9922
4) ภาพถ่ายศพของพลเรือนบนทางหลวงชิโตเมียร์ ซึ่งแท้จริงแล้วนี่คือสถานที่เดียวกับที่ถ่ายทำวิดีโอเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งแสดงให้เห็นการยิงต่อสู้ระหว่างสมาชิกกองพันของกองกำลังป้องกันอาณาเขตของยูเครน
เรียนรู้เพิ่มเติม: โพสจากทวิตเตอร์แสดงการเดินสำรวจพื้นที่เมืองบูชาของเจ้าหน้าที่ยูเครน
นอกจากจุดพบศพอันโด่งดังทั้ง 4 จุดแล้วนั้น ยังมีศพรายอื่นอีกที่ไม่ได้ปรากฏในพื้นที่สำคัญเหล่านั้น เริ่มต้นจากศพของชายคนนิรนามที่ถูกมัดมือไขว้หลังด้วยผ้าสีขาวถ่ายโดยรอยเตอร์ (Reuters) จากที่เห็นนั้นสาเหตุการตายนั้นมาจากการถูกยิงเข้าที่หัว ทว่าสิ่งที่เป็นจุดสนใจนั้นอยู่ที่มือที่มีลักษณะเหมือนโดนน้ำ หิมะหรือของเหลวกัดจนเกิดสีผิวเปลี่ยนไปและมีการย่นจนยับยุ่ยี่ ขณะที่ร่างกายของเขาส่วนอื่น ๆ นั้นยังมีความสดใหม่แปลก ๆ
บริเวณมือที่โดนกัดนั้นสีผิวหนังนั้นยังไม่เขียวแล้วดำ อย่างไรก็ตามบริเวณนั้นมีเลือดคั่งอยู่ใต้เล็บ และผิวหนังของนิ้วมือนั้นเหมือนจะพึ่งแช่อยู่ในน้ำมาสักพักแล้ว ตรงกันข้ามกับผิดหนังบนฝ่ามือที่ไม่มีรอย จากลักษณะของมือนั้นเอง มันช่วยบ่งบอกได้ว่าผู้เสียชีวิตนั้นถูกเอาตัวนอนหงายกับพื้น โดยที่มือข้างขวาดของเขานั้นน่าจะถูกกดทับบนแอ่งน้ำตื้นที่น่าจะมาจากหิมะละลาย ขณะที่ผ้าพันแผลสีขาวที่ใช้ในการผูกมือของเขานั้นมันสะอาดอย่างมาก เสื้อผ้าของผู้ตายนั้นก็สะอาดอย่างมากด้วย
แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ศพนั้นน่าจะถูกทิ้งเอาไว้มาแล้วมากถึง 2 สัปดาห์อย่างที่รายงานและหลักฐานจากภาพดาวเทียมได้บอกมา เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง สภาพของศพนั้นน่าจะมีอาการของการเน่าสลายแล้วจากเชื้อราหรือสีผิวทั้งตัวนั้นเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนสภาพของศพที่เริ่มเน่าอืดแล้ว ซึ่งกระบวนการนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากอากาศของเมืองบูชานั้น ณ เวลานั้นยังค่อนข้างหนาวจากการที่เป็นช่วงปลาย ฤ ดูหนาวแล้วเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ
ศพของคนตายนิรนามที่มีรอยกัดจากน้ำเย็นที่บริเวณมือขวาเท่านั้น - ที่มา: https://www.donbass-insider.com/2022/04/06/bucha-massacre-when-satellite-images-and-videos-are-manipulated-to-tell-a-false-story/
ถัดจากคนที่มีรอยกัดที่มือข้างขวาผิดปกติแล้วนั้น ข้าง ๆ ของเขานั้นมีศพของอีกคนนอนควำ่หน้าแต่มือไม่ได้ถูดมัดไขว้หลังเลยทั้งหมด 2 ศพ โดยคนใกล้ที่สุดนั้นสวมเสื้อนอกสีเหมือนกัน และอีกคนที่ถัดไปอีกนั้นสวมเสื้อนอกสีน้ำเงิน ท่าทางเหมือนจะถูกมัดไขว้หลัง ทั้งสองศพนั้นมีรอยสีดำที่พื้นเหมือนกับคนก่อนหน้านี้ คนกลางนั้นมีรอยมาจากกลางลำตัว ขณะที่คนเสื้อสีน้ำเงินนั้นมีรอยบริเวณรอบส่วนหัวที่ไม่ชัดเจนมาก หากพิจารณาดี ๆ นั้นสิ่งที่เป็นรอยนั้นก็คือ เลือดอย่างแน่นอน
คำถามก็คือพวกเขานั้นเสียชีวิตกันตอนไหน พวกเขานั้นเสียชีวิตนานเหมือนกับคนแรกหรือไม่ คำตอบนั้นก็คือเป็นไปได้ เพราะว่ารอยเลือดที่ปรากฏจากภาพข้างล่างนี้นั้น มันมีสีเหมือน ๆ กัน บ่งบอกได้ว่าพวกเขานั้นเสียชีวิตพร้อม ๆ กัน สาเหตุนั้นน่าจะเหมือนกันนั้นก็คือ โดนยิงจากด้านหน้า เพราะจากรอยเสื้อผ้าจากคนแรก และคนสวมเสื้อสีน้ำเงินนั้นเป็นรอยที่หัวแต่ไม่ได้มาจากข้างหลัง ขณะที่คนกลางนั้นถูกยิงเข้ากลางลำตัว นั้นจึงอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีรอยเลือดไหลออกมาจากลำตัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาอาจจะโดนที่หัวเหมือนกันก็ได้
โพสเทเลแกรมของยูเครนกล่าวประนามรัสเซียที่กระทำการฆ่าพลเรือนก่อนจะถอนกำลัง ภาพถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1013
จุดสังเกตของคนกลางนั้นต่อมาก็คือ ขวดแก้วที่ล้มข้าง ๆ เขา พาเลทไม้สำหรับขนของและทำไมเขาถึงได้นอนหันหน้าคนละทางกับสองคนที่เหลือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่จากการยิงในครั้งนี้ตรงหน้า เป็นไปได้ว่าเขานั้นถูกพาตัวมาไว้ที่ตรงอาคารที่มีพาเลทหรือไม่ก็เดินผ่านมา จากนั้นเองก็มีใครบางคนนั้นทำการยิงเขา จนเขานั้นล้มลงใส่พาเลทไม้จจนมันพัง จากนั้นทำขวดเครื่องดื่มนั้นหลุดจากมือก่อนจะล้มลง หรือมันอาจจะวางไว้อยู่บนพื้นมาแล้ว กระทั่งเขาล้มลงไปเตะมันหรือใครก็ตามที่หลังยิงเสร็จเดินมาหยิบมันเอามาจัดฉาก
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ที่แน่ ๆ คือขวดแบบเดียวกันนั้นมันมีมากกว่า 1 และไม่ได้อยู่ที่พื้นอย่างเดียว เพราะในพื้ืนที่ใกล้ ๆ กับศพคนแรกนั้นมันมีรอยแตกของขวดอยู่ตามพื้น
จุดเกิดเหตุที่มีผู้เสียชีวิต 3 คนอีกมุมที่แสดงรายละเอียดของสิ่งของพัง - ที่มา: https://t.me/rybar/30428
ไม่ว่าจุดเกิดเหตุสิ่งของนั้นจะเกิดกระจัดกระจายจากสาเหตุอะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องสงสัยก็คือ ใครเป็นคนยิงคนที่สองเพราะถ้าหากว่าเราได้คำตอบจากเรื่องนี้ เราอาจจะได้คำตอบจากคนที่หนึ่งและสามไปในตัวด้วยเลย กระทั่งมีวิดีโอที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เมษายน เป็นภาพเหตุการณ์วันที่ 25 มีนาคม โดยภายในวิดีโอนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ทหารรัสเซียทำการยิงพลเรือนหลังการสอบปากคำ’
วิดีโอที่เขียนว่า ทหารรัสเซียทำการยิงพลเรือนหลังการสอบปากคำ ของวันที่ 25 มีนาคม 2022 - ที่มา: https://t.me/rybar/30428
ทว่าเมื่อทำการดูวิดีโอจบไปคนที่ถูกสอบปากคำนั้น นอกจากลักษณะเครื่องแต่งกายไม่ชัดเจนแล้วนั้น ตัววิดีโอก็กลับไม่แสดงการยิงสังหารพลเรือนเมืองบูชาคนนั้นเลย สิ่งที่เขานั้นทำก็มีแค่การคุกเข่าและขยับแขนไปมาเท่านั้น
หากว่ามีการยิงจริงเกิดขึ้นจริง ๆ นั้นก็หมายความได้ว่าศพของชายคนกลางหรือคนแรกก็ตามนั้นได้เสียชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 1 สัปดาห์เมื่อเราทำการนับวันที่ภาพคน 3 คนนี้เสียชีวิตถูกเผยแพร่ออกมา เป็นไปได้รึเปล่าที่เลือดของศพนั้นจะยังสีเข้มแบบในภาพ คำตอบคือเป็นไปได้แต่ทว่ามันติดปัญหาที่ว่า
หากว่าศพถูกทิ้งไว้ข้างนอกนานอย่างน้อย ๆ มันต้องมีร่องรอยการเน่าสลายแล้วและเสื้อผ้าของศพทั้ง 3 คนนั้นต้องมีร่องรอยการเปื้อนจากการเน่า แทนที่จะเป็นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และยิ่งไปกว่านั้นเราควรจะเห็นแมลงมาบินตอมศพแล้ว และร่องรอยของเลือดนั้นมันต้องแห้งสนิทสุด ๆ แน่นอน
แต่เนื่องด้วยความที่ว่าช่วงเวลานั้นมันคือช่วงเวลาปลายฤดูหนาวแล้ว เป็นไปได้ที่จะมีฝนตกพอดี และจากในภาพก่อนหน้านี้สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า พาเลทนั้นมีรอยเปียก แต่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าและยิ่งไปกว่านั้นร่างกายไม่มีรอยเปียกนอกจากมือขวาของคนแรก เป็นไปได้รึเปล่าที่ทหารยูเครนนั้นทำการยิงพลเรือนเหล่านี้เอง แล้วทำการเอาวิดีโอและภาพมาสร้างภาพปลอมเพื่อใส่ร้ายรัสเซีย คำตอบนั้นก็คือ เราไม่มีทางรู้แน่ชัด แต่ที่แน่นอนก็คือ พลเรือนเหล่านี้นั้นอาจจะไม่ได้ตายจากฝีมือทหารรัสเซีย
ศพผู้เสียชีวิตรายต่อมาที่สร้างคำถามมากมายก็คือ ศพของคนปั่นจักรยาน สภาพศพของเขานั้นนอนตายพร้อมจักรยานในส่วนล่างของลำตัว และจากลักษณะของมือที่อยู่ในท่าของกำลังงอเหมือนยึดจับอะไรนั้นเอง บ่งบอกได้ว่าเหมือนเขาจะตัวแข็งแล้วในตอนที่ตายอ้างอิงจากหลักฐานการชันสูตรจากฝั่งยูเครน จุดสนใจของศพรายนี้นั้นก็คือ ถุงมือที่ถูกสวมในมือของเขาและศพของแต่ละคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นมักจะมีฮู้ดคลุมหัว
เริ่มจากถุงมือเมื่อทำการสังเกต ถุงมือนั้นไม่มีการถูกสวมเขาอย่างสุดในทุกนิ้ว ราวกับว่ามันคือการสวมเพื่อสร้างหลักฐานหรือไม่? เพราะถ้าหากว่าศพนั้นหนาวตายหรือตัวแข็งไปแล้ว มันไม่มีความจำเป็นใด ๆ ในการจะสวมถุงมือให้ และอย่างต่อมานั้นก็คือ ถ้าหากว่าเป็นการยิงสังหารเข้าที่หัวนั้นเอง อย่างน้อย ๆ เราควรจะเห็นรอยกระสุนยิงเข้าที่หัวแล้วมีเลือดออกมา และยิ่งไปว่านั้นร่องรอยของกระสุนปะทะที่หัวนั้นไม่มีบนฮู้ด
และอ้างอิงจากทิศทางที่ล้มแล้วนั้นเอง เขาควรจะถูกยิงจากด้านหน้าที่เขานั้นหันไปมอง แต่เราก็กลับไม่เห็นรอยกระสุนที่หัวหรือฮู้ดเลย และอย่างสุดท้ายที่ต้องสังเกตจากศพนี้ด้วยเหมือนศพที่แล้วอย่างที่ว่า เสื้อผ้าของเหยื่อนั้นสภาพเป็นอย่างไร คำตอบก็คือมันยังมีความสะอาดผิดปกติจากศพของคนที่ควรจะตายไปเมื่อนานมาแล้ว
ศพของคนตายนิรนามที่ปั่นจักรยานที่ไม่พบรอยกระสุนที่หัว - ที่มา: https://www.donbass-insider.com/2022/04/06/bucha-massacre-when-satellite-images-and-videos-are-manipulated-to-tell-a-false-story/
สำหรับศพในพื้นที่หลุมฝังรวมนั้นเอง มีศพอยู่หนึ่งศพที่หลุดออกมามากพอจะทำการวิเคราะห์ได้อย่าง ศพที่มีรอยเลือดสีแดงสดที่ก้นหลุมและโดนฝังเกือบจะหมดตัวที่บริเวณมุมซ้ายของภาพ ในเรื่องของเลือดสีแดงสดจากศพหรืออาการรอยเขียวช้ำ (Livor mortis) ซึ่งเป็นรอยซึ่งเกิด ณ ร่างกายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงหลังการตาย โดยเป็นการตกของเม็ดเลือดแดงตามแรงโน้มถ่วง เมื่อหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต หลังตายของศพนั้นจะมีเลือดไหลออกมา อ้างอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากที่เคยมีการศึกษามา
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง: อาการรอยเขียวช้ำ
การที่เลือดจะเปลี่ยนสีจนเข้มหรือกลายเป็นสีดำนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมงหลังการตาย หรือก็คือเลือดจะไม่มีทางคงอยู่เป็นสีแดงนานได้มากนักหลังจากการตายแล้วไหลออกจากตัว มีความเป็นไปได้ที่เลือดนั้นจะเปลี่ยนสีได้ช้า
จากในภาพที่เผยแพร่ออกมานั้นเอง เนื่องจากทหารรัสเซียนั้นออกจากเมืองไปเมื่อวันที่ 30 มีนาคม หากว่าศพนี้มาจากวันที่ 19 มีนาคมหรือช่วงวันที่ 30 จริง ๆ แล้วพึ่งมามีการค้นพบหลังวันนั้นก็ตาม สภาพของศพนั้นจะต้องมีการเปลี่ยนสีแล้วเนื่องจากการเน่าเปื่อย และเลือดจะต้องเปลี่ยนเป็นสีดำที่เข้มมากขึ้นอย่างแล้วเมื่อมาถึงวันที่เผยแพร่หลักฐานอย่างวันที่ 3 เมษายน
แต่ทว่าในภาพนั้นชัดเจนว่าเหมือนเลือดจะยังใหม่ผิดปกติ ทำให้เป็นไปได้ว่าศพนั้นน่าจะไม่ใช่ศพของวันที่ 3 เมษายนอย่างแน่นอน หรือต่อให้ใช่จริง ๆ คำถามคือทหารรัสเซียนั้นทำจริงหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่เพราะอย่างที่กล่าวก่อนหน้าแล้วว่า พวกเขานั้นทำการถอนกำลังออกจากเมืองไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ดังนั้นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญเลยก็คือ ทหารยูเครนที่เดินทางเข้ามาในเมืองวันที่ 2 เมษายน
สภาพของศพที่อยู่ในพื้นที่ฝังรวม สังเกตที่ศพทางมุมซ้ายที่มีเลือดสีแดงที่เหมือนยังสดใหม่อยู่ - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1039
กลุ่มศพต่อมาที่ต้องมาทำการวิเคราะห์สังเกตนั้นก็คือ ศพที่นอนอยู่ตามพื้นที่มีอะไรบางอย่างตกอยู่ใกล้ ๆ ด้วยในท้องถนนเมืองบูชา ลักษณะของมันนั้นเป็นเหมือนกล่องบางอย่าง เมื่อทำการสังเกตดูปรากฏว่ามันคือ กล่องเสบียงอาหารของทหารรัสเซีย เพราะสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์รูปดาวและสีของกล่อง
ตรารูปดาวของกองทัพรัสเซีย (รูปแบบทั่วไป) - ที่มา: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Russian_Army_Star.svg
ภาพถ่ายกลองเสบียงอาหารของกองทัพรัสเซียแบบใกล้ ๆ - ที่มา: https://t.me/intelslava/24337
ภาพถ่ายจุดเกิดเหตุที่มีศพจำนวนมากมายที่มีกล่องเสบียงอาหารของกองทัพรัสเซียตกอยู่ใกล้ ๆ - ที่มา: https://t.me/intelslava/24337
เช่นเดียวกับกรณีศพก่อนหน้านี้ เสื้อผ้าของเหยื่อผู้เสียชีวิตนั้นค่อนข้างสะอาด ไม่มีร่องรอยของแผลจากการถูกยิงเข้าที่หัวปรากฏอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นไม่มีรอยเลือดสด ๆ ที่หากว่ามันเกิดขึ้นจากเมื่อวันที่ 30 มีนาคมจริง ๆ อย่างน้อยเราควรจะเห็นว่ามีเลือดออกตามพื้ืน แต่ปรากฏว่าเราไม่เห็นรอยชัดเจน ทำให้เราอาจจะสันนิฐานได้ว่า พวกเขานั้นอาจจะตายมาแล้วจากที่อื่น ๆ ก่อนจะถูกนำศพมาทิ้งเอาไว้ หรือไม่ก็พวกเขานั้นอาจจะเสียชีวิตกันที่นี่ แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างที่ไม่ได้มาจากการถูกยิง
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามร่องรอยจุดเกิดเหตุแบบนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า พวกเขาเหล่านี้ที่ตายไปคือ คนฝักใฝ่หรือสมรู้ร่วมกับกองทัพรัสเซียหรือไม่ เพราะถึงแม้จะไม่มีการสวมปลอกแขนสีขาวเหมือนหลาย ๆ ศพจากนี้ไป ทหารรัสเซียคงไม่เดินทางมายึดครองที่นี่แล้วไม่แจกจ่ายเสบียงแน่นอน ไม่ว่าให้กับพวกเขาเองหรือพลเรือนก็ตาม และจากร่องรอยในจุดเกิดเหตุนั้นมีความเป็นไปได้ที่ว่า เสบียงเหล่านี้นั้นถูกแกะแล้วโดยพลเรือนเหล่านี้แน่นอน
หนึ่งในกรณีตัวอย่างของคนที่ทำการรับเสบียงจากทหารรัสเซีย ภายหลังมาได้ได้รับการสัมภาษณ์และเผยแพร่โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของยูเครน นายอเล็กเซย์ จูราฟโก (Alexei Zhuravko) ทำการเผยแพร่เรื่องราวของผู้หญิงนิรนามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองบูชาก่อนที่ถูกอพยพออกจากเมืองไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม
เธอกล่าวว่า บ้านของเธอนั้นถูกโจมตีโดยปืนใหญ่ หลังจากที่เธอนั้นทำการรับเสบียงอาหารจากทหารรัสเซียเพียงชั่วโมงเดียว โดยสาเหตุนั้นน่าจะมาจากอาจจะมีคนส่งข่าว (คาดการณ์ว่าอาจจะเป็นเพื่อนบ้านของเธอในเมืองบูชา) ให้กองทัพยูเครนรับรู้ถึงพิกัดบ้านของเธอ จากนั้นเองบ้านของเธอก็ถูกยิงใส่ เพียงเพราะว่าเธอนั้นรับเสบียงมาจากกองทัพรัสเซีย การสัมภาษณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ลงในเว็บไซต์สำนักข่าวเมดูซ่า (Meduza)
โพสเทเลแกรมรายงานถึงความจริงของชาวยูเครนที่รับความช่วยเหลือจากทหารรัสเซีย - ที่มา: https://t.me/AlexeyZhuravko/28184
กรณีของพลเรือนเหล่านี้นั้นเป็นประชาชนฝักใฝ่รัสเซียนั้นยังไม่จบแค่นี้ เพราะมีหลายภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่า คนเสียชีวิตเหล่านั้นมีปลอกแขนหรือผ้าสีขาวพันที่แขนเอาไว้ และมีวิดีโอถูกปล่อยออกมาจากช่องเทเลแกรมของรัสเซียเมื่อวันที่ 3 เมษายน
ซึ่งเป็นรายงานของช่องสำนักข่าวของยูเครนถึงเหตุการณ์การสังหารหมู่ในเมืองบูชา ทว่าเมื่อทำการสังเกตจากวิดีโอที่บางช่วงมีการชะลอให้ช้าลง เราจะสามารถทำการสังเกตได้ว่า ศพบางศพนั้นมีการขยับมือหรือตัวอย่างผิดธรรมชาติ และตัวศพหลายคนนั้นไม่มีร่องรอยกระสุนหรือเลือดออกที่หัวปรากฏ
ภาพถ่ายจุดเกิดเหตุที่มีศพคนตายตามข้างถนนในเมืองบูชา และแต่ละศพมีปลอกแขนที่ขาวปรากฏ - ที่มา: https://t.me/intelslava/24297
เรียนรู้เพิ่มเติม: วิดีโอรายงานข่าวของสำนักข่าว Espresso TV
ทางฝั่งของยูเครนนั้นได้เปิดเผยภาพวิดีโอจากโดรน โดยเนื้อหานั้นบอกว่า วันที่ 3 มีนาคม มีการค้นพบว่าทหารรัสเซียนั้นกระทำการยิงสังหารหมู่ชาวเมืองบูชา อ้างอิงจากวิดีโอข้างล่าง
เรียนรู้เพิ่มเติม: วิดีโอภาพจากโดรนของฝ่ายยูเครน
ภายในวิดีโอช่วงเวลาที่ 1:50 เราจะเห็นยานเกราะขอนรัสเซียกลางวิดีโอนั้นทำการเปิดฉากยิงก่อนที่พลเรือนคนนั้นจะออกจากหัวมุมถนน จากนั้นเองผ่านไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นยานเกราะนั้นทำการยิงต่ออีกหลายนัด ที่แปลกก็คือ หากเราทำการดูดี ๆ บริเวณกำแพงรั้วบ้านนั้น เราจะไม่พบกับรอยตกกระทบใด ๆ เลย เพราะต่อให้เป็นปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 30 มม. จากยานเกราะคันนั้นของรัสเซียเราก็คงต้องเห็นกำแพงนั้นถูกเจาะแล้ว
และอย่างต่อมาที่น่าสงสัยก็คือ หากสังเกตดี ๆ ด้วยความละเอียดของวิดีโอสูงที่สุด เมื่อทำการมองดี ๆ เราจะพบว่าปืนของยานเกราะคันนั้นไม่ได้เล็งมายังหัวมุมของถนนส่วนที่คนในวิดีโอนั้นเดินผ่าน กลับกันมันทำการยิงที่ทิศทางตรงกันข้ามเลยเมื่อทำการสังเกตวิถีกระสุนที่ออกจากปากลำกล้องของมันดี ๆ และประกายไฟและแก็สที่ออกมาจากปากลำกล้องมันตรงกลาง เราจะพบว่ามันยิงอะไรบางอย่างที่อีกฝากหรืออะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็น
ไม่ว่าพลปืนบนรถยานเกราะคันนั้นจะมองเห็นแล้วยิงอะไรก็ตาม บางทีเขาอาจจะมองเห็นพลเรือนก็ได้จากมุมกล้องของเขาพอดี หรือยิงตามคำสั่งใส่บ้านบางหลังที่ทหารยูเครนนั้นอยู่ในจังหวะพอดี เพราะอย่างที่กล่าวไว้ เขาทำการยิงในตอนที่พลเรือนคนนั้นก่อนจะโผล่มายังมุมที่เขานั้นมองเห็นพอดี แต่ไม่ว่ายังไงเมื่อวิเคราะห์ดี ๆ เราจะเห็นได้ว่าคำบรรยายวิดีโอนั้นมันไม่ตรงตามภาพที่ปรากฏ
จากคำกล่าวของยูเครนนั้นเอง มันมีปัญหาตามมาก็คือ วันที่ 3 มีนาคม วันที่ ณ เวลานั้นในเมืองบูชา ทหารยูเครนยังปรากฏตัวอยู่ภายในตัวเมืองอยู่ อ้างอิงจากโพสเทเลแกรมของฝ่ายยูเครนที่เผยแพร่วิดีโอเดียวกัน อ้างอิงจากโพสข้างล่างนี้เอง เราจะเห็นทหารยูเครนนั้นทำการถ่ายภาพพร้อมธงของประเทศในพื้นที่อาคารของเมือง
และในเวลานั้นที่เป็นช่วงปลายหน้าหนาวพอดี มันยังมีหิมะตกอยู่ในพื้นที่ใกล้ ๆ และจากเสียงของคนถ่ายวิดีโอนั้นเอง เขาพูดอย่างชัดเจนอ้างอิงจากภาษาต้นฉบับนั้นเอง เขาทำการบอกว่าเขากับพวกอยู่ในเมืองบูชาวันที่ 3 มีนาคม ตั้งแต่ต้นวิดีโอเป็นตัวช่วยยืนยันอีกว่า เมืองบูชา ณ เวลานั้นยังอยู่ในมือของยูเครนอยู่ และจากรายงานก่อนหน้านี้เองเราก็ทราบกันดีว่าทหารรัสเซียจะทำการเข้ายึดครองเมืองนี้ได้ในวันที่ 12 มีนาคมเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากในเมืองบูชาโดยทหารยูเครนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม จากช่องเทเลแกรม - ที่มา: https://www.donbass-insider.com/2022/04/06/bucha-massacre-when-satellite-images-and-videos-are-manipulated-to-tell-a-false-story/
จากวิดีโอช่องเทเลแกรมของทหารยูเครนนั้นเอง หากสังเกตที่พื้นดี ๆ จะพบได้ว่ามันเปียกโชก ยิ่งไปกว่านั้น หากตรวจสอบสภาพอากาศของวันที่ 3 มีนาคม และก่อนหน้านี้จะพบว่ามันยังเป็นช่วงที่หิมะตกอยู่ และจากภายในโดรนนั้นเองหากว่าจากที่อ้างอิงว่าเป็นวันที่ 3 มีนาคมจริง ๆ พื้นถนนนั้นจะต้องมีร่องรอยของน้ำเปียกปรากฏให้เห็น ทว่ากลับไม่เห็นร่องรอยใด ๆ ที่แสดงถึงความเปียกและมันแห้งไปหมด
และเมื่อมองไปที่สวนของบ้านทางด้านขวาและซ้ายของถนนที่ชายคนนั้นกำลังเคลื่อนไหว เราจะเห็นได้ว่าหญ้านั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้งแล้ว ทว่าการเปลี่ยนสีนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วทุกพื้นที่พร้อมกันเพราะช่วงเวลาวันที่ 2 และ 3 มีนาคม อุณหภูมิในเมืองบูชานั้นอยู่ที่ 1-2 องศาเซลเซียส และยังมีหิมะตกด้วย ดังนั้นแล้วจากวิดีโอที่ทางยูเครนพยายามแก้ต่างนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อย
ภาพถ่ายเบื้องหลังจากการสู้รบในพื้นที่เมืองบูชาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2022 - ที่มา: https://t.me/intelslava/21217
ทางช่องเทเลแกรมของยูเครนบางช่องก็มีความพยายามเหมือน ๆ กันในการจะโทษทหารรัสเซีย โดยการเผยหลักฐานการทรมานเฉลยศึกสงคราม ทว่าปัญหาก็คือภาพหลักฐานนี้มันไม่ได้มาจากเมืองบูชา แต่มันมาจากหมู่บ้านกอสโตเมล (Gostomel) ที่ซึ่งมีการสู้รบในสนามบินใกล้เคียงระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย
ภาพฝั่งซ้ายสุดคือโพสเทเลแกรมของยูเครนที่พยายามรายงานการกระทำอันป่าเถื่อนจากรัสเซียในเมืองบูชา ส่วนฝั่งขวาก็คือ โพสยูเครนต้นทางของภาพมาจากโพสที่รายงานข่าวความสูญเสียมาจากเมืองอื่นที่ไม่ใช่บูชา - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1098
โพสต้นทางของยูเครนที่พยายามนำเสนอภาพของเหยื่อที่ตายในเมืองบูชาและไอร์ปิน (Irpen) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบูชา ทว่าอย่างไรก็ตามมีคนค้นพบว่า ภาพของศพเหล่านี้ไม่ได้มาจากบูชาและไอร์ปินเช่นเดียวกัน แต่มาจากเมืองนิโคลาเยฟ (Nikolaev) จากพาดหัวข่าวที่ถูกลบไปแล้วในปัจจุบันนี้ - ที่มา: https://t.me/European_dissident/1104
โพสเทเลแกรมถึงวิดีโอของทหารยูเครนทำการลากศพโดยใช้ทั้งมือและเชือก? ภายในตัวโพสนั้นมีการกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ทหารยูเครนนั้นกำลังจัดฉากบางอย่างเพื่อการถ่ายทำวิดีโอ - ที่มา: https://t.me/NewResistance/7018
โพสเทเลแกรมกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ทหารรัสเซียนั้นทำการใช้วัสุดที่เป็นตะปูใส่ลงไปในกระสุนปืนใหญ่และยิงใส่พื้นที่พลเรือนในเมืองบูชา ทว่าจากการตรวจสอบมีความเป็นไปได้ว่าไม่น่าจะใช่ - ที่มา: https://t.me/warfakes/2514 และ https://t.me/ForeignAgentIntel/915
อ่านและเรียนรู้เพิ่มเติม: การชันสูตรหลักฐานในพื้นที่เกิดเหตุของเมืองบูชา เกี่ยวกับเรื่องปืนใหญ่ของรัสเซียที่ยิงใส่เมือง
วันที่ 6 เมษายน:
หลังจากวันที่ 4 เมษายน สำนักข่าวนิวยอร์คไทม์ (New York Times) นั้นรายงานว่ามีหลักฐานของการสังหารหมู่ผ่านภาพถ่ายดาวเทียมจริง ๆ ทุกคนที่อ่านหรือได้เห็นนั้นต่างพากันตีความเห็นกันอย่างรวดเร็วในทันทีว่า มันคือความจริงและศพของเมืองนั้นมีจริง ๆ อย่างที่รายงานของฝ่ายยูเครนระบุออกมา เริ่มจากภาพถ่ายของวันที่ 28 กุมภาพันธ์และ 19 มีนาคม ที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีศพจริง ๆ ปรากฏออกมา
อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่เรานั้นควรจะสังเกตก็คือ ทำไมคุณภาพของภาพถ่ายดาวเทียมนั้นมันถึงเปลี่ยนไปหรือแตกต่างกันอย่างมาก โดยภาพของวันที่ 28 กุมภาพันธ์นั้นมีความคมขัดยิ่งกว่า ขณะที่ภาพของวันที่ 19 มีนาคม นั้นมีความละเอียดที่ลดลง ซึ่งมันส่งผลให้อะไรก็ตามที่มีรายละเอียดปรากฏออกมานั้นมีความน่าสงสัยยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่า จุดดำ ๆ บนภาพวันที่ 19 มีนาคม นั้นมันคือผู้คนจริง ๆ หรือไม่
พาดหัวข่าวของสำนักข่าวนิวยอร์คไทม์ถึงกรณีการสังหารหมู่เมืองบูชาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2022 - ที่มา: https://www.nytimes.com/2022/04/04/world/europe/bucha-ukraine-bodies.html
ภาพถ่ายดาวเทียมเหนือเมืองบูชาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์และ 19 มีนาคม - ที่มา: https://www.nytimes.com/2022/04/04/world/europe/bucha-ukraine-bodies.html
หลังจากมีการเผยแพร่บทความออกไปทางด้านบริษัทแม็คซ่า (Maxar) บริษัทที่เป็นเจ้าของดาวเทียมที่มีเคลื่อนที่ผ่านวงโคจรมาอยู่เหนือหัวของเมืองบูชาพอดีได้บอกเอาไว้ว่า ทางด้านบริษัทนั้นไม่ได้มีการขายภาพถ่ายดาวเทียมรหัสเวิร์ลวิว (WorldView) และจีโออาย-1 (GeoEye-1) ของพวกเขาที่โคจรเหนือเมืองบูชาให้กับสาธารณะในวันที่ 19, 22 และ 23 มีนาคม
ซึ่งวันที่ 19 ก็คือวันที่สำนักข่าวประกาศเผยแพร่ข่าวออกสู่สาธารณะ อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นอนุญาตให้มีการขายภาพถ่ายดาวเทียมจากวันที่ 31 มีนาคมแทนได้ ทว่าวันที่ 31 นั้นต่อให้จะขายได้นั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอามาใช้อ้างเป็นหลักฐานได้ เพราะวันที่ 31 มีนาคมนั้นคือวันที่ทหารรัสเซียได้ออกจากเมืองไปหมดแล้ว จากคำสั่งการถอนกำลังในวันที่ 30 มีนาคม ดังนั้นแล้วคำถามก็คือ ภาพถ่ายของนิวยอร์คไทม์นั้นเป็นภาพปลอมแล้วเกิดการตัดต่อหรือไม่
ก่อนจะหาคำตอบจากรูปภาพ เรามาลองตั้งสมมติฐานคร่าว ๆ ก่อนว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าที่สำนักข่าวนั้นบอกเป็นเรื่องจริงแล้วศพถูกทิ้งเอาไว้ข้างนอกจริง ๆ ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมแบบข้ามคืนท่ามกลางอุณหภูมิของ ณ เวลานั้นที่อยู่ที่ 2–4 องศาเซลเซียส และอยู่อย่างนั้นข้างนอกไม่ไปไหนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ร่างผู้ตายนั้นจะเกิดการเน่าเสียก่อนที่จะอืดในระยะเวลา 2-3 วัน (แม้ว่ากระบวนการจะเกิดช้าก็ตาม)
ปฏิทินแสดงสภาพอากาศเดือนมีนาคม 2022 เหนือเมืองบูชา - ที่มา: https://telegra.ph/Stoit-li-doveryat-sputnikovym-video-ot-Maxor-04-05
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคมเป็นต้นไปของเมืองบูชานั้น อุณหภูมิจะสูงขึ้นถึง 16 องศาเซลเซียสในวันที่ 22 และ 23 มีนาคม ในวันนั้นสภาพอากาศยังแจ่มใสอีกด้วย บนพื้นยางมะตอยสีเข้มที่ร่างผู้เสียชีวิตนอนอยู่จะร้อนขึ้นอีก ส่งผลทำให้ร่างของผู้เสียชีวิตนั้นเน่าเปื่อยอย่างมากและจากเวลาที่พวกเขาถูกทิ้งเอาไว้นั้นเองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ร่างของผู้ตายเหล่านั้นคงไม่เหลือสภาพดีอีกต่อไปแล้ว
จากนั้นตามมาด้วยร่างกายจะมีลักษณะที่บวมเพราะเต็มไปด้วยแก็สจากการย่อยสลายของอวัยวะภายใน และของเหลวสีดำแดงจะไหลออกมาพร้อมกันนั้นก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงออกมา
นอกจากนั้นเองหากว่าศพนั้นถูกทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม จริง ๆ ทางด้านแมลงวัน สุนัขในพื้ืนที่และสัตว์กินซากชนิดต่าง ๆ ก็คงจะเข้ามาแล้วกระทำการกินซากจนไม่เหลือซากใด ๆ แล้วเมื่อทำการพิจารณาถึงเวลาที่ศพถูกทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ตามเมื่อทำการดูศพของผู้เสียชีวิตจากหลาย ๆ รายงานและสื่อนั้นก็ต่างบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ศพของคนที่ (คาดการณ์ว่า) ถูกทิ้งเอาไว้นั้น มันยังมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนและเสื้อผ้าส่วนมากนั้นยังสะอาดจากรอยเปื้อนใด ๆ
และอย่างสุดท้ายเกี่ยวกับศพนั้นเอง มีหลายกรณีที่ทหารหรือพลเรือนเมื่อมีศพของคนอยู่ในพื้นที่ พวกเขาคงจะไม่ทำการทิ้งศพให้เกิดการเน่าขนาดส่งกลิ่นเหม็นเน่าแน่นอน เพราะในการรบในพื้นเมืองมารียูปอลที่มีรายงานประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากกว่าหลายการรบตลอดทั้งยูเครน มีรายงานว่ามีการฝังศพคนในทันทีที่มีการพบศพคนเสียชีวิต และตรงกันข้ามกับสิ่งที่หลายคน ณ เวลานั้นบอก กองทัพรัสเซียไม่ได้ขัดขวางการฝังศพพลเรือนในทันที ดังเช่นกรณีการขุดหลุมฝังศพรวมในเมืองบูชา ได้รับการยืนยันจากบทความยูเครนหลายฉบับในช่วงเวลาดังกล่าว
กลับไปที่ภาพถ่ายต้องสงสัยนี้นั้น สำนักข่าวอิสระจากรัสเซียชื่อว่า ‘ไรบาร์ (Rybar)’ (โพสเทเลแกรมต้นฉบับ: https://t.me/rybar/30599) ได้ทำการเปิดเผยหลักฐานการวิเคราะห์และตรวจสอบอย่างละเอียดใหม่อีกถึงกรณีภาพถ่ายดาวเทียม ภายใต้การทำงานร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานข่าวกรองโอเพ่นซอร์ส (OSINT) และหน่วยข่าวกรองเชิงภูมิสารสนเทศ (GEOINT) กล่าวสรุปว่า
1) จากคำกล่าวของนิวยอร์คไทม์ว่า ภาพถ่ายดาวเทียมของวันที่ 19 มีนาคมนั้น ความเป็นจริงแล้วมันคือภาพถ่ายจากวันที่ 1 เมษายน เมื่อเวลาท้องถิ่น 14.57 น. (หรือ 11:57 น. ในเวลามาตรฐานกลาง) สังเกตได้จากตะกอนทรายของฝนที่ตกหนักระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 1 เมษายน เพราะในช่วงเวลาวันที่ 19 มีนาคมควรจะมีอากาศโปร่งใสระดับหนึ่งแทน (เมื่อทำการอ้างปฏิทินพยากรณ์อากาศข้างบน)
2) จากภาพถ่ายดาวเทียมของทั้งสองวันนั้นเอง หลังการตรวจสอบพวกเขาพบว่ามันคือภาพจากวันเดียวกัน เพราะตำแหน่งของเงานั้นมันเหมือนกันเกินไปหลังการเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด วันที่ดั้งเดิมของภาพนั้นอ้างอิงจากเวลาของอเมริกา
3) เว็บไซต์ของแม็กซ่านั้นให้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับดาวเทียมทั้งหมด 3 ดวงที่เกี่ยวข้องในการถ่ายภาพเมืองบูชาประกอบด้วย เวิร์ลวิว-2 (WorldView-2), เวิร์ลวิว-3 (WorldView-3) และจีโออาย-1 (GeoEye-1) จากการศึกษานั้นพวกเขาพบว่าไม่มีดาวเทียมดวงใดที่เกี่ยวข้องทำการถ่ายภาพของเมืองในวันที่ 19 มีนาคม และยิ่งไปกว่านั้นดาวเทียมรหัสจีโออาย-1 ได้ทำการถ่ายภาพเฉพาะวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และ 18 มีนาคม
ขณะที่เวิร์ลวิว-2 ได้ทำการถ่ายภาพวันที่ 18 มีนาคม และ เวิร์ลวิว-3 ได้ทำการถ่ายภาพของวันที่ 31 มีนาคม และนอกจากนั้นเองอ้างอิงจาก Rybar ดาวเทียมรหัสเวิร์ลวิว-2 แม้จะมีเส้นทางวงโคจรผ่านเมืองบูชาและไอร์ปิน (Irpen) วันที่ 19 มีนาคม แต่ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ดาวเทียมดวงอื่นที่เกี่ยวข้องนั้นผ่านด้วย แต่ที่พวกเขาพบก็คือ ไม่มีดาวเทียมดวงไหนถ่ายภาพวันที่ 19 มีนาคมเลย
ตารางแสดงรายการดาวเทียมที่ทำการถ่ายภาพเหนือเมืองบูชา โดยมีการะบุวันเวลาของภาพถ่ายและเส้นทางวงโคจรของดาวเทียมรหัสเวิร์ลวิว-2 (WorldView-2) ของวันที่ 19 มีนาคม 2022 มุมมองนอกแบบโลก - ที่มา: https://telegra.ph/Stoit-li-doveryat-sputnikovym-video-ot-Maxor-04-05
4) อ้างอิงจากผลการตรวจสอบบนโปรแกรมซันแคล็ค (SunClac) พวกเขาสามารถค้นหาเวลาที่แน่นอนของภาพและทิศทางของเงาได้โดยการตรวจสอบมุมของดวงอาทิตย์เหนือขอบฟ้า ซึ่งมุมของเงาที่เฉียงนั้นอยู่ที่ 42.02 องศา
หน้าโปรแกรมซันแคล็คแสดงผลการตรวจสอบและวิเคราะห์ภาพหลักฐาน - ที่มา: https://telegra.ph/Stoit-li-doveryat-sputnikovym-video-ot-Maxor-04-05
อ่านและเรียนรู้เพิ่มเติม: ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบภาพถ่ายหลักฐาน และคำกล่าวของอาสาสมัครยูเครนถึงเรื่องบูชา
พยานคนสำคัญ
นอกจากหลักฐานโต้แย้งแล้วนั้นเอง บูชายังมีพยานบางคนที่รอดชีวิตหรือกล้าจะออกมาบอกความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเมืองบูชาในตอนที่ทางยูเครนนั้นเปิดเผยหลักฐานของการสังหารหมู่ ที่ซึ่งอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ เพราะข้อโต้แย้งจากหลักฐานของฝ่ายรัสเซียนั้นก็ค่อนข้างมีน้ำหนักที่มีเหตุมีผลอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตามความจริงจากปากของคนในพื้นที่เท่านั้นที่จะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากที่ตาเห็นมาทั้งหมดจากในเมืองบูชา โดยพยานคนสำคัญจากในเมืองนั้นในช่วงระหว่างที่อยู่ในเมืองประกอบด้วย
1) บล็อคเกอร์ชาวยูเครนนิรนามที่อาศัยอยู่ในเมืองบูชาระหว่างการถูกยึดครองโดยทหารรัสเซีย ก่อนการมาของทหารยูเครนในช่วงวันที่ 1–2 เมษายน แม้จะเป็นผู้ภักดีต่อยูเครน เขาได้เปิดเผยรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับทหารรัสเซีย ผ่านเนื้อหาในวิดีโอของเขาเอง โดยมีใจความเอาไว้ว่า
"ผมอยากจะบอกกับคนที่กล้าบอกกับผมในวิดีโอที่ผมนั้นพูดถึงการสนทนากับทหารรัสเซีย การมีเหตุผลที่สนัับสนุนหรือให้การยอมรับพวกเขาทำนองนั้นว่า เป็นการโฆษณาให้กองทัพรัสเซีย พวกคุณบ้าไปแล้วหรือยังไงกัน ผมเข้าใจนะว่ามันง่ายอย่างมากกับพวกคุณที่บอกพวกเขาจะทำการฆ่าผม ถ้าพวกเขาฆ่าครอบครัวของผมด้วยใช่มั้ย นั่นแหละมันจะง่ายกว่าสำหรับคุณ
พวกคุณคงอยากได้ยินเรื่องนี้ใช่มั้ยที่ว่า พวกเขานั้นไม่ทำการฆ่าคนนั้นมันจะเป็นเรื่องแย่กับพวกเขาใช่มั้ย เห็นได้ชัดว่ามันกลายเป็นแบบนั้น ผมแค่ไม่เข้าใจผมควรจะพูดอะไร ดูก่อนสิ พวกเขาก็เป็นคนเหมือน ๆ กันนะ พวกนี้เป็นผู้ยึดครอง ใช่พวกเขาเป็นศัตรูของเรา พวกเขาคือทหาร พวกเขานั้นเป็นศัตรู แต่ถ้าหากว่าพวกคุณนั้นอยู่ในเมืองที่ถูกพวกเขายึดครองอยู่ คุณก็อดไม่ได้หรอกที่จะติดต่อสื่อสารกับพวกเขาบ้าง
ถ้าคุณเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้อย่างพยายามหลบจากพวกเขา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพวกคุณจะออกจากที่นี่ยังไงกัน ถ้าหากว่าไม่มีข้อมูล ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีไฟฟ้่ ไม่มีการสื่อสารใด ๆ คุณก็ทำได้แค่เดินไปไไหนมาไหนในจุดตรวจของเมือง คุณควรจะเงียบหรอเมื่อมีคนเรียกชื่อคุณ แม้แต่เปทกา (Petka) ก็แสดงความคิดเห็นรูปแบบนี้เช่นกัน โปรดใช้สมองของพวกคุณคิดดี ๆ ก่อนจะพิมพ์เขียนอะไร"
- คำแปลจากวิดีโอต้นฉบับ https://t.me/wartimedia/6729
ข้อความแปลจากวิดีโอต้นฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2022 - ที่มา: https://t.me/wartimedia/6729
ปัจจุบันนี้แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้นหลังจากเหตุการณ์อื้อฉาว แต่ที่แน่นอนก็คือ เขาคือหนึ่งในคนช่วยเป็นพยานกับเหตุการณ์ก่อนพลเรือนจำนวนมากจะตายในการช่วยตอบคำถามบางอย่างออกมา อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นข้อมูลช่วยในการตั้งสมมติฐานได้ว่า ทหารรัสเซียนั้นอาจจะไม่เคยยิงพลเรือนจริง ๆ
2) พยานคนต่อมาและมีรายละเอียดข้อมูลอย่างมากมายกว่า และอาจจะให้คำตอบกับเราได้ใกล้เคียงและอย่างละเอียดมากที่สุดได้ พยานคนนั้นเป็นอาสาสมัครชาวผรั่งเศสชื่อว่า อาเดรียน บอคเกต์ (Adrien Bocquet) ทหารผ่านศึกและอาสามาทำงานในยูเครนช่วงเวลา 3 เดือนแรกของการสู้รบ
แม้ระหว่างการทำงานอาสาช่วยทหารยูเครน เขาได้พบเจอกับการก่ออาชญากรรมสงครามมากมายที่คาดไม่ถึง ตัวเขายังได้พบเจอกับอะไรบางอย่างที่เขาไม่ควรจะพบในระหว่างการทำงานในเมืองบูชา โดยข้อความสัมภาษณ์ของเขานั้นผ่านรายการวิทยุชื่อว่า ‘ซุดเรดีโอ (Sud Radio)’ จากบ้านเกิดของเขาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ใจความของเนื้อหาสัมภาษณ์มีดังต่อไปนี้
" เป็นเรื่องน่าเกลียดอย่างมาก ผมจะขอเล่าก่อนเลยแล้วกันถึงเรื่องทหารอาซอฟ พวกเขาอยู่ทุกที่ไปหมด คุณสามารถเห็นพวกเขานั้นมีตราสัญลักษณ์เกี่ยวกับนาซีเต็มไปหมด และที่ผมนั้นช็อคก็คือ ทางการยุโรปของพวกเราสนับสนุนพวกเขา ติดอาวุธให้พวกเขา และพวกเขานั้นมีรอยสักของนาซีอย่างชัดเจนอย่างมาก ผมเห็นสัญลักษณ์ของเอสเอส (Waffen-SS Stripe) แล้วผมบอกได้เลยว่ามันมีทั้งยูเครนเต็มไปหมดเลย ผมทำงานกับพวกเขา ผมทำการปฐมพยาบาลและรักษาพวกเขา พวกเขาเคยบอกกับผมตรง ๆ เลยนะว่า
ถ้าหากพวกเขาทำการจับกุมชาวยิวหรือพวกนิโกร (ผิวดำ) พวกเขาจะทำการฆ่าให้หมดเลย
อาเดรียน บอคเกต์
และพวกเขานั้นพูดอย่างภาคภูมิใจพร้อมหัวเราะสนุกสนานด้วย ผมเคยเห็นเฉลยศึกรัสเซียถูกปฏิบัติด้วยความรุนแรงอย่างโหดเหี้ยม พวกเขานั้นถูกมัดแล้วทิ้งไว้ในโรงนา พวกอาซอฟทำการพาพวกเขาไปไว้ที่นั้น โดยพวกเขาถูกขนส่งผ่านมินิแวนเพื่อนำมาสอบสวนที่นี่ ซึ่งคำถามแรก ๆ นั้นก็คือ ใครเป็นนายทหารในกลุ่มเหล่านั้น หลังจากถามไปไม่นานพวกเขาหนึ่งในนั้นโดนยิงที่หัวเข่าในทันทีด้วยปืนคาลาชนิคอฟ (Kalashnikov)
พวกเขานั้นเป็นเฉลยศึกแล้วนะ พวกเขาป้องกันตัวไม่ได้เพราะถูกมัดอยู่ ผมเคยบันทึกวิดีโอเฉลยศึกถูกยิงเข้าที่หัวเข่า แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกอาซอฟทำไปทำไมกัน ก่อนที่จะได้ถามอะไรกับพวกเขาไปพวกเขาก็ยิงไปแล้วอย่างไม่ลังเลใด ๆ และถ้าใครในกลุ่มมีการตอบออกไปว่า เขาคือนายทหารประจำกลุ่ม พวกอาซอฟจะยิงเขาเข้าที่หัวในทันที
คุณเคยเห็นข่าวบนทีวีของเรามั้ยถึงเบื้องหลังจากการถูกยิงถล่มใส่ มีนักข่าวอเมริกันคนนึงใกล้ ๆ ผมถ่ายทุกอย่างเอาไว้ได้ในพื้นที่สวนสาธารณะของเมือง เขาบอกในทันทีว่า พวกรัสเซียนั้นเป็นคนทำ ผมจึงถามเขากลับไปว่า ‘คุณมั่นใจได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของรัสเซียกัน?’ เขาก็ได้ตอบออกมาง่าย ๆ เลยว่า ‘ไม่สำคัญมากหรอกตราบใดที่พวกเรานั้นยังถ่ายภาพทั้งหมดนี้เอาไว้ได้’
ผมเห็นจรวดยิงไปใส่หลักอาวุธที่ถูกจัดส่งมาจากยุโรป คุณพอเดาได้มั้ยว่ามันซ่อนอยู่ไหนกัน? ชั้นใต้ดินของบ้านที่มีพลเรือนอาศัยอยู่!
อาเดรียน บอคเกต์
ทำไมมันถึงมีอาวุธถูกเก็บซ่อนใกล้ ๆ กับพลเรือน? นี่มันคือการกระทำที่ใช้พวกเขาเป็นโล่มนุษย์ (Human Shield) เพื่อกำบังจากศัตรูชัด ๆ !
สำหรับบูชานั้นทั้งหมดมันคือการจัดฉากเท่านั้น มันมีศพที่ถูกนำมาจากที่อื่นเพื่อถูกนำมาใช้ในการถ่ายทำที่นี่เลยโดยเฉพาะ ผมอยู่ที่นั้นและเห็นกับตาเลยถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น
อาเดรียน บอคเกต์
มีทหารรับจ้างเต็มพื้ืนที่ไปหมด ทั้งพวกอเมริกันและฝรั่งเศสเต็มยูเครนไปหมด ผมเห็นกลุ่มคนประมาณ 5-7 คน กระทำการร้าย ๆ อย่างอิสระเองแล้วไม่โดนลงโทษใด ๆ จากทางการของยูเครนเลย แล้วผมกล้าบอกได้เลยว่าพวกเขานั้นมีอยู่เยอะเลย
การได้ไปอยู่ในยูเครน เพื่อที่จะเห็นการก่ออาชญากรรมสงคราม ทั้งหมดที่เห็นนั้นมันมาจากกองทัพยูเครนฝ่ายเดียวนี้ เมื่อผมเดินทางกลับมาฝรั่งเศส ผมตกใจอย่างมาก ช่องทีวีนั้นทำการเชิญชวนผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้ไปที่ยูเครน ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยูเครนว่าเกิดอะไรยังไงขึ้นบ้างมาออกรายการทีวีก่อนและ ณ ขณะนี้”
เรียนรู้เพิ่มเติม: คลิปการสัมภาษณ์เต็มพร้อมซับภาษาอังกฤษ
หลังจากให้สัมภาษณ์ออกรายการไปก็มีสำนักข่าวบางแหล่งเข้ามาพยายามที่จะโต้แย้งถึงการสัมภาษณ์ของบอคเกต์ แต่ก็กลับไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ชัดเจนว่าจะมาลบล้างคำกล่าวของเขาได้มาก ทว่าถึงจะไม่มีใครเข้ามาลบล้างข้อโต้แย้งจากสิ่งที่เขาเห็นมาได้ สื่อต่าง ๆ และแหล่งสืบค้นต่าง ๆ ได้ทำการเซนเซอร์หรือจำกัดการเข้าถึงของเขาไว้อย่างมาก ทำให้การจะค้นหาบางครั้งนั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก และ
สำหรับตัวบอคเกต์แล้วนั้นหลังจากให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าววิทยุไป เขาก็ได้เดินทางกลับไปยังดอนบาส (Donbas) ทำข่าวที่นั้นเป็นเวลา 2 เดือนเกี่ยวข้องกับเรื่อง ชาวเมืองในแคว้นดอนบาสนั้นถูกยิงใส่โดยปืนใหญ่จากประเทศของเขาเอง ที่ถูกใช้งานโดยทหารยูเครน โดยมุ่งเป้าบอกความจริงถึงเรื่องผลกระทบและสิ่งที่เกิดขึ้นกับพลเรือนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านั้น (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้ว)
เรียนรู้เพิ่มเติม: รายงานข่าวผลกระทบจากปืนใหญ่โดยอาเดรียน บอคเกต์
หลังจากนั้นเองเขาเดินทางไปยังกรุงอิสตันบุล (Istanbul) ของประเทศตรุกีเมื่อประมาณวันที่ 16 ของเดือนกันยายน เพื่อจัทำการต่ออายุวิซ่าของรัสเซียใหม่ ช่วงเวลานั้นเองเขาก็ได้ถูกโจมตีจากกลุ่มคนปริศนาที่พยายามจะฆ่าปิดปากของเขา ทว่าเขารอดมาได้แต่ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเดินทางกลับไปยังรัสเซียเพื่อทำการขอลี้ภัยอาศัยและทำงานต่อในฐานะนักข่าวสงคราม และปัจจุบันนี้ยังคงทำข่าวเกี่ยวกับยูเครนในหัวข้อการตามหาความจริงที่เกิดขึ้นในสงครามนี้ (เผยแพร่ผ่านช่องเทเลแกรมส่วนตัว)
เรียนรู้เพิ่มเติม: ข้อมูลของอาเดรียน บอคเกต์หลังการให้สัมภาษณ์กับ Sud Radio
จากข้อมูลของบอคเกต์และจากสิ่งที่เขานั้นต้องเผชิญกับตัว มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ได้เกิดขึ้นกับเขา ไม่ว่าคนที่แอบลอบมาทำร้ายเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่ความจริงหรือข้อเท็จจริงที่เขานั้นเห็นมานั้นมันพอจะช่วยให้ข้อมูลกับเราได้เพียงพอต่อการจะทำสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างได้และอาจจะช่วยยืนยันได้ว่า หรือว่าจริง ๆ แล้วนั้นบูชาไม่เคยมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นจริง ๆ โดยทางรัสเซีย แต่อาจจะเป็นการกระทำโดยฝ่ายยูเครนเองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขา และช่วยส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของรัสเซียนั้นดูแย่ลงมากกว่าเดิม
สรุป: สังหารหมู่หรือการจัดฉาก?
จากหลักฐานทั้งหมดนี้เอง มันอาจจะง่ายในการตอบได้ว่ามันจริงที่ยูเครนนั้นเป็นคนกระทำทั้งหมด ทว่าการด่วนสรุปนั้นมันเคยเป็นเรื่องดีเสมอไปแม้จะมีหลักฐานจากการตรวจสอบมากมาย เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นมีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ เท่านั้นที่จะตอบคำถามได้
แม้จะเป็นฝ่ายยูเครนที่ปรากฏตามสื่อทั่วไปหรือพยานคนสำคัญที่ช่วยยืนยันความจริงนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรพิจารณาด้วยเสมอ และหากว่าทำการเอาคำกล่าวสัมภาษณ์และหลักฐานมาร่วมด้วยช่วยกันในการพิจารณา ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นไปหมดในการตอบได้ในทันทีว่า ยูเครนนั้นคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้
ส่วนแรงจูงใจและสาเหตุนั้นก็อาจจะสมเหตุสมผลด้วย เมื่อทำการพิจารณาเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยที่ว่า รัสเซียกับยูเครนกำลังเจรจาสันติภาพในเดือนเมษายน 2022 พอดี ทุกอย่างจึงสมเหตุสมผลไปหมดและเป็นไปได้อย่างมากว่า ยูเครนนั้นกระทำการทั้งหมดโดยมีตะวันตกสนับสนุน เพื่อที่จะทำการประนามและตัดโอกาสที่รัสเซียนั้นจะได้เจรจาใด ๆ ในการหยุดสงครามและการสู้รบ
และจะมีอะไรง่ายไปกว่าการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับรัสเซียต่อสายตาคนทั้งโลก ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้นั้นมันมีความคล้ายกับเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองติมิโชอารา (Timisoara massacre) ที่เป็นการกระทำเพื่อบั่นทอนและป้ายความผิดให้กับคนที่ไม่ได้กระทำผิดจริงในบางเรื่อง
เรียนรู้เพิ่มเติม: เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองติมิโชอารา (Timisoara massacre)
ในท้ายที่สุดแล้วนั้น เหตุการณ์ในเมืองบูชาคือหนึ่งในเครื่องหมายเตือนใจเราทุกคนให้เห็นถึงความโหดร้ายและความไม่จริงใจจากสื่อฝ่ายหนึ่ง เพื่อที่จะทำการล้างสมองเราให้เชื่อในความจริงเดียวได้ไปตลอด และช่วยให้เรานั้นลืมการใช้หลักเหตุผลและวิจารณญาณในการอ่านสื่อต่าง ๆ ไปได้ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่เราควรจะมีภูมิป้องกันจากการถูกบงการ ควรมีเหตุผลเสมอก่อนการด่วนสรุป
และอย่างสุดท้ายคือออกตามหาความจริงเสมอแม้ว่ามันจะหายากแค่ไหน เพื่อที่จะไม่ให้คนที่ตายหรือสูญหายไปจากเหตุการณ์ไม่ถูกลืมไปตลอดจากความจริงที่มีอยู่ตรงหน้าทุกคน
โพสทวิตเตอร์ของพอล โรนซ์ไฮเมอร์ (Paul Ronzheimer) นักการเมืองของยุโรปกล่าวขอให้มีการแสดงหลักฐานจริง ๆ ของการสังหารหมู่เพื่อให้ทุกคนบนโลกนั้นได้เข้าใจอย่างโจ่งแจ้งเหมือนกัน - ที่มา: https://t.me/intelslava/24788
แหล่งข้อมูล:
อ่านและเรียนรู้เพิ่มเติม:
โฆษณา