8 พ.ย. เวลา 13:13 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

รีวิว "อย่ากลับบ้าน" ความหักมุมที่ดีเกินคาด

"อย่ากลับบ้าน"
ซีรีส์อันดับ 1 ของเน็ตฟลิกซ์วันนี้
ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกมากอีกเรื่อง
มีทั้งหมด 6 ตอน
ในด้านการพีอาร์ทำให้รู้สึกว่าเป็นหนังผี
ซึ่งกระเเสหนังแนวนี้กำลังมาดี
จากความสำเร็จของธี่หยด 2
แต่ก็เปิดดูไปแบบไม่คาดหวังมากนัก
โดยเป็นเรื่องของแม่กับลูกสาว 5 ขวบ
ที่หอบผ้าหอบผ่อนหนีสามีจาก กทม.
กลับบ้านเกิดที่ จ.พังงา เป็นบ้าน
ทรงโบราณสมัยอดีตที่ตัวเองเคยอยู่เมื่อหลายสิบปีก่อน
แต่แล้วก็เจอเหตุการณ์ประหลาดมากมายชวนขนหัวลุก
ในสไตล์จัมพ์ สแกร์ ตุ้งแช่ๆ อยู่หลายซีน
ตอนแรกก็งงว่านางเอกพกตังค์เป็นล้าน
แต่กลับไปอยู่บ้านเก่าที่น่ากลัวขนาดนี้
ทำไมไม่ไปเช่าโรงแรมดีๆ นอน
มาวันหนึ่งลูกสาวคือน้องมิน
มาหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุในบ้านหลังนี้
ไปแจ้งความกับทางตำรวจให้ช่วยสืบหา
ผู้รับผิดชอบคดีคือสารวัตรฟ้าตำรวจหญิง
ท้องแก่ใกล้คลอด
ดูไปพอถึงตอนที่ 3 กับตอนที่ 4
หนังกลายเป็นแนวสืบสวนทันที
ความรู้สึกเหมือนผีจะพักผ่อนชั่วขณะ
ยิ่งสองตอนสุดท้ายกลายเป็นหักมุม
แนวไซไฟวิทยาศาสตร์ซะงั้น
ผู้สร้างหลอกคนดูมาตั้งแต่ต้นเลย
ก็นับว่าเป็นซีรีส์ไทยที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง
ในการดำเนินเรื่องที่ชวนติดตาม
การตัดต่อที่ดี โปรดักชั่นเยี่ยมมาก
เทียบเท่าหนังฮอลลีวูด
มุมกล้องภาพถ่ายน่าสนใจในทุกตอน
ดารานำอย่าง “นุ่น วรนุช” ที่สวมบาทแม่วารี
ก็แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก
รวมทั้งน้อง “แพร์ พิชชาภา”
ในบทสารวัตรฟ้าก็ถือว่าสอบผ่าน
ดาราเด็กก็แสดงได้ธรรมชาติดี
แต่ที่ผิดหวังคือบทของ “ลุงนที”
ที่แสดงโดยสหชัย ชุมรุม บทนี้ดูเหมือน
จะเป็นผู้คลี่คลายเรื่องราวทั้งหมดได้
แต่เปล่าเลยกลายเป็นไม่มีผลอะไรกับเส้นเรื่อง
ทั้งนี้ต้องชื่นชมผู้สร้าง
ที่พยายามให้ตัวละครประกอบในท้องถิ่น
พูดภาษาใต้เพื่อให้เข้ากับถิ่นเมืองพังงา
แต่ตัวละครหลักไม่มีใครพูดใต้ได้เลย
ไม่ได้หมายถึงนุ่น วรนุช นะครับ
คือตัวอื่นๆ ควรจะพูดได้บ้าง
ตัดภาพไปทางหนัง Hollywood
เขาจะเลือกคนแสดงให้เหมาะกับบริบทของหนัง
ไม่ใช่เอาคนดังมาแสดงอย่างเดียวเหมือนบ้านเรา
ซึ่งผมเองไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
หรืออย่างบ้านจารึกอนันต์ซึ่งเป็นบ้าน
ของครอบครัวนี้ในจังหวัดพังงา ปี 2567
คือปัจจุบันเก่าแก่สภาพโทรมอย่างไร
หนังย้อนไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน
ก็หน้าตาเหมือนปัจจุบัน
ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
ถ้าเป็นคนก็คงหน้าแก่ตั้งแต่เด็กล่ะครับ
มันควรต้องมีสภาพใหม่กว่าปัจจุบัน
อย่างเห็นได้ชัดแน่นอน
รวมความแล้วก็ถือว่าผู้สร้างมีความกล้าหาญ
ที่จะทำหนังแหวกแนวจากตลาดออกมาครับ
ไม่น้ำเน่าเหมือนละครในทีวีบ้านเรา
ที่สาละวนกับการ รีเมค หนังเก่า
จนเกิดความเสื่อมเป็นวิกฤติละครไทยดังที่เป็นอยู่
ซีรีส์เรื่องนี้ดูจบแล้วคงไม่มีใครที่จะไม่งงกับเรื่องราว
ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงทำไมจบแบบนี้
ดูหนังฝรั่งอย่างเรื่อง “Back to the Future”
ก็ยังเข้าใจง่ายกว่าเยอะ เพิ่งมาทราบว่า
ซีรีส์ต้องการเน้นเรื่องการว่ายวนอยู่กับลูปเก่าๆ
ซึ่งหาทางออกไม่ได้
แบบทฤษฎี Grandfather paradox
เป็นกำลังใจให้กับทางผู้สร้างและก็ Netflix นะครับ
สำหรับเรื่องนี้ ส่วนตัวผมให้ 7.5/10 ครับ
ถือว่าเป็นซีรีส์ดีเรื่องหนึ่งในปีนี้เลย
โฆษณา