8 พ.ย. เวลา 05:03

ด้ามขวานมีเรื่องเล่า ตอน เสียงร้องจากปลาบ่งบอกถึงความมั่งคั่งทางอาหาร

“ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ” คำนี้ทุกท่านคงเคยได้ยินกันมา ความหมายก็คือพื้นดินจะปลูกพืชอะไรก็งาม สามารถเก็บเกี่ยวมาเป็นอาหารหรือเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ได้ ส่วนในน้ำก็มีปลามากมายที่สามารถจับได้ง่าย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งและมั่นคงของอาหาร
เมื่อพิจารณาถึงคำว่า “สินในน้ำ” เราจะพบว่าในประเทศไทยมีอาชีพการทำประมงอยู่ 2 ลักษณะ นั่นก็คือประมงน้ำจืดและประมงน้ำเค็ม ในส่วนของประมงน้ำเค็มนั้นก็แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท นั่นก็คือประมงขนาดเล็กหรือประมงพื้นบ้าน และประมงขนาดใหญ่ที่เรียกว่าอุตสาหกรรมการทำประมง แต่ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ผู้ที่ทำจะต้องออกเรือไปในทะเลเพื่อจับปลา ซึ่งต้นทุนดำเนินการที่เกิดขึ้นที่เป็น Fix Cost ก็คือ เรือพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์และน้ำมันเชื้อเพลง หรือที่เราเรียกกันว่าสังหาริมทรัพย์ ส่วนค่าแรงคนงานนั้นจะเป็น Available Cost
การออกหาปลาของกลุ่มประมงไม่ใช่ออกเรือไปสะเปะสะปะ แต่จะต้องมีจุดหมายที่แม่นยำไม่เช่นนั้นจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ เมื่อมองดูถึงการหาปลาของประมงขนาดใหญ่เพื่อจับปลาทีละมาก ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่เอื้อต่อประโยชน์ดังกล่าว
เครื่องมือที่สำคัญสำหรับนำทางไปจับปลาก็คือระบบ Sonar Fish Finder ซึ่งสามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าฝูงปลาขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณใดจะได้ล้อมอวนเพื่อจับ ซึ่งผลกระทบต่อทรัพยากรของการทำประมงประเภทนี้ก็คือจะทำให้ปลาซึ่งถือว่าเป็นสินในน้ำลดน้อยลงจนถึงขนาดหมดไปจากพื้นที่ ทำให้ต้องออกเรือไปไกลมากขึ้นจนถึงขั้นต้องไปขอจับปลาในเขตทะเลของประเทศอื่น
สำหรับประมงขนาดเล็กที่เป็นประมงพื้นบ้านก็ต้องออกเรือไปเช่นกัน โดยจะออกไปเป็นกลุ่มลักษณะเป็นการลงแขกหาปลา และเรือจะไม่ใหญ่โตเท่า เป็นแค่เรือที่รูปทรงคล้ายเรือกอและที่ติดเครื่องยนต์ที่ท้ายเรือเท่านั้น และอุปกรณ์ก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนของอุตสาหกรรมประมง คนงานก็ไม่มากเป็นเพียงแค่สมาชิกในครอบครัวไม่เกิน 3 คนต่อหนึ่งลำเรือเท่านั้นและต้องมีพรานทะเลอย่างน้อย 1 คนติดสอยห้อยตามไปด้วย
ดังนั้นประมงประเภทนี้ต้นทุนจึงไม่สูงแต่ก็จับปลาได้แบบสมน้ำสมเนื้อหลายร้อยกิโลกรัมกันเลยทีเดียว เครื่องมือสำคัญที่ใช้สำหรับนำทางไปจับปลาจะใช้ "หู" ของพรานทะเลที่ฝึกวิชาดูหลำแทนระบบ Sonar Fish Finder
โดยก่อนฟ้าสางประมาณตี 2-3 ชาวประมงพื้นบ้านจะใช้แผนที่จักรวาลนั่นก็คือดวงดาวบนท้องฟ้านำทางออกเรือไปถึงจุดใดจุดหนึ่งในทะเลจากนั้นจะดับเครื่องยนต์ และเพียงแค่ใช้หูแนบน้ำหรือใช้พายจุ่มน้ำแล้วใช้หูแนบกับด้ามพาย เพื่อฟังเสียงปลาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าบริเวณนั้นมีปลาหรือไม่ ปลาอยู่ใกล้หรือไกลในทิศทางใด เป็นปลาหรือสัตว์น้ำชนิดใด ใช่ปลาที่ต้องการหรือไม่ มีปริมาณมากเท่าใด ตัวเล็กหรือตัวโตเต็มวัย ถ้าลงอวนจะคุ้มหรือไม่
แทบจะเรียกได้ว่าการประมงประเภทนี้จะใช้หูในการหาสินในน้ำ และใช้ตาเพื่อดูอันตรายเท่านั้น เมื่อรู้ทิศที่อยู่ของปลาแล้วพรานจะพายเรือไปแบบเงียบ ๆ แล้วดำน้ำเพื่อฟังเสียงร้องของปลาเป็นระยะ เมื่อรู้สึกว่าเสียงนั้นดังอยู่บริเวณหน้าอกของตนนั่นแสดงว่าพรานได้อยู่ท่ามกลางฝูงปลาแล้ว จากนั้นพรานจะส่งสัญญาณเพื่อให้ชาวประมงล้อมอวนต่อไป
พรานทะเลที่มีวิชาดูหลำติดตัวจะได้รับการยกย่องจากชุมชนมากเนื่องจากถือว่าเป็นผู้ที่มีวิชาความรู้สูงในเรื่องสินในน้ำ การหากินกับทะเล และการป้องกันภัยจากทะเลให้กับชาวประมงในชุมชน ซึ่งกว่าที่พรานจะได้วิชาดูหลำนั้นจะต้องถูกฝึกแบบเข้มข้นจากครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาด้วยการ learning by doing ซึ่งเป็นเรื่องยากเย็นไม่หย่อนไปกว่าการเรียนในระดับด๊อกเตอร์เลย
ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะฝึกวิชานี้จะต้องไม่ขี้เกียจ มีสมาธิและจิตที่มั่นคงไม่ขี้กลัวที่จะต้องโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลและใต้น้ำทะเล ไม่กลัวหนาว ไม่กลัวเหนื่อย หูและตาต้องไว สำหรับข้อประพฤติของผู้ที่ได้วิชาดูหลำนั่นก็คือต้องเป็นผู้มีศีลธรรม ไม่เจ้าชู้และพูดโกหก นอกเหนือจากความรู้ ความชำนาญและวิธีการแล้ว ผู้ที่เป็นพรานจะต้องรู้ถึงนิสัยและฤดูของปลาชนิดต่าง ๆ ในทะเลเช่น ฤดูกาลโยกย้ายเพื่อว่างไข่ ฤดูกาลโยกย้ายสำหรับตัวเต็มวัย และฤดูกาลอนุบาลตัวอ่อน
อย่างไรก็ตามเมื่อมีประมง 2 ประเภทหาสินในน้ำเดียวกัน ประมงประเภทหนึ่งย่อมต้องส่งผลกระทบต่ออีกประเภทหนึ่งเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลกระทบที่ประมงพื้นบ้านได้รับจากอุตสาหกรรมประมงนั่นก็คือการสูญเสียระบบนิเวศธรรมชาติใต้ทะเลอันเป็นที่ทำมาหากินของพวกเขานั่นเอง
เรื่องโดย Chatchawas Ktibhiphatphon
ภาพโดย Pencil
โฆษณา