8 พ.ย. เวลา 06:41 • การเมือง

[ จี้รัฐบาลไทย ในที่ประชุม COP29 ...]

[ จี้รัฐบาลไทย ในที่ประชุม COP29 ต้องมีท่าทีและความมุ่งมั่นเร่งทำตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมเสนอโอกาสสร้างเศรษฐกิจใหม่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ]
การประชุม COP26 เมื่อปี 2564 ประเทศไทยได้ประกาศต่อประชาคมโลกไว้ว่าภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ประเทศไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 30-40% ในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ประเทศไทยจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และในปี 2065 (พ.ศ. 2608) ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) แต่ผ่านมา 3 ปีแล้วยังไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ ในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุตามที่ประกาศต่อประชาคมโลกไว้
ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าในการผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่เป็นกฎหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมาย Net Zero เพราะถ้าไม่มีกฎหมายบังคับก็จะไม่เกิดสภาพบังคับให้ทุกภาคส่วนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง
และยังขาดกลไกกองทุนที่จะมาสนับสนุนเพื่อให้เกิดการปรับตัวสู่ความยั่งยืนได้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้มีการรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีให้ส่งเข้ามาสภาแต่อย่างใด
นอกจากนี้อดีตพรรคก้าวไกลเองก็ได้ยื่นร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งมีกลไกในการคุ้มครองสิทธิชุมชนและป้องกันการฟอกเขียวที่ครอบคลุมกว่า เข้าสู่สภาฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 แล้ว แต่ด้วยความที่เป็นร่างการเงินจึงต้องมีการลงนามรับรองจากนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งก็ยังคงรอให้นายกรัฐมนตรีลงนามจนถึงทุกวันนี้
ที่น่ากังวลคือในอีกไม่เกิน 1 ปี 2 เดือนต่อจากนี้ สหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ในบางสินค้า และจะทยอยบังคับใช้จนถึงปี 2577 ถ้าประเทศไทยยังไม่ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมา สินค้าไทยที่เข้าข่ายก็จะต้องเสียภาษีคาร์บอนให้กับสหภาพยุโรป แทนที่จะมาเสียให้กับประเทศไทย
โดยสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและการดำเนินการที่ผ่านมาโดยรัฐบาล โดยระบุว่าจากข้อมูลของหน่วยงานราชการ ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 372 ล้านตันคาร์บอน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นภาคส่วนต่างๆ ได้ดังนี้
1. ภาคพลังงาน โดยส่วนที่ใหญ่ที่สุดคือไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 28% แต่ความคืบหน้าล่าสุดของรัฐบาลมีข้อน่ากังวลอย่างยิ่ง จากกรณีร่างแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (PDP) 2024 (พ.ศ. 2567) ที่มีการรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยและยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ
โดยร่าง PDP 2024 กำหนดสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไว้เพียง 51% ในปีสุดท้ายของแผน หรือปี 2580 แต่ยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศไทยกำหนดไว้ว่าประเทศไทยต้องมีพลังงานหมุนเวียนถึง 68% ในปี 2583 ที่สัดส่วนไม่สอดคล้องเพราะตามร่างแผน PDP จะยังมีการสร้างโรงไฟฟ้าฟอซซิลเพิ่ม หรือจะมีการเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอีกถึง 8 โรง 6,300 เมกะวัตต์ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง LNG Termnal ที่ 3 เพิ่มขึ้นอย่างไม่จำเป็นด้วย
พรรคประชาชนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน แต่ไม่สนับสนุนขบวนการแอบอ้างพลังงานหมุนเวียนมาเป็นการฟอกเขียวและเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงาน อย่างในกรณีขบวนการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่ไม่มีทั้งการเปิดประมูล ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณคัดเลือก มีการล็อกโควตา และไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เอกชนต้องการ
2. ภาคการขนส่ง ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 20% สิ่งที่รัฐบาลทำต่อคือแนวทางส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV30@30) และที่มีการทำใหม่คือรถไฟฟ้า 20 บาท บางสาย แต่ที่ยังไม่เห็นคือนโยบายหรือมาตรการใดๆ ที่จะทำให้เกิดบริการขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ
3. ภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนถึง 24% และภาคเกษตรกรรม ที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 15% พบว่ายังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลชุดนี้ เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อพิเศษเพื่อการลงทุนในการปรับเปลี่ยน เงินอุดหนุนเพื่อทดลองในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, มาตรการสนับสนุนบริษัทจัดการพลังงานสำหรับหน่วยงานรัฐและเอกชน , มาตรการสนับสนุนสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
4. ภาคของเสียและการจัดการขยะ แม้เป็นสัดส่วนเพียง 5% แต่ประเทศไทยยังมีบ่อฝังกลบเทกองที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ถูกต้องถึง 95% และเป็นส่วนสำคัญที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากรัฐบาลในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการขยะ ที่จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมรับผิดชอบจากผู้ผลิต การเพิ่มอัตราการรีไซเคิล และการทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
5. ภาคป่าไม้ ที่จะทำให้เกิดการดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 25% ยังไม่มีมาตรการใดๆ จากรัฐบาลชุดนี้ในการสนับสนุนให้มีการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้หรือเพิ่มพื้นที่การปลูกไม้ยืนต้น การพิสูจน์สิทธิที่ดินที่ยังค้างคาอยู่ถึง 22 ล้านไร่ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการปลูกพืชไร่มาเป็นพืชยืนต้นได้ หรือธนาคารต้นไม้ที่จะสนับสนุนให้เกษตรกรมาปลูกไม้ยืนต้นและร่วมรักษาในช่วงเริ่มต้น
หรือกระทั่งมาตรการ Negative Land Tax ที่จะปลดล็อกให้ท้องถิ่นสามารถคืนภาษีที่ดินเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือจูงใจให้เกิดการปลูกต้นไม้ในพื้นที่เมืองได้ หรือกระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างการจัดสรรงบประมาณป้องกันไฟป่า ที่มีการจัดสรรเพียง 100 ล้านบาท จากคำของบประมาณ 1,300 ล้านบาทในแต่ละปีเท่านั้น
ในเรื่องของสภาวะโลกรวนเป็นทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อมและโอกาสใหม่ๆ ของประเทศในทางเศรษฐกิจ จากอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีพลังงานหมุนเวียน สินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรที่ปล่อยคาร์บอนต่ำที่มีจุดขายและจุดแข็งในตลาดโลก ธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจากค่าไฟที่ถูกและสะอาด
ดังนั้น ในการประชุม COP29 รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีท่าทีและความมุ่งมั่นที่จะเร่งทำตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย แม้รัฐบาลจะมีการแถลงไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ถึง 44% ในปี 2030 (พ.ศ. 2573) แต่ประเด็นสำคัญคือการเริ่มทำ ไม่ใช่การกำหนดเป้าหมายเท่านั้น รัฐบาลควรต้องเร่งออก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้เร็วที่สุด
แสดงเจตจำนงและกำหนดเงื่อนไขเวลาที่ชัดเจน ว่าจะผลักดันให้ออกมาบังคับใช้ได้ทันภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรต้องทบทวนร่างแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ ที่ไม่ควรต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าฟอซซิลเพิ่มอีกแล้ว และเร่งออกมาตรการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรเพื่อให้มีการทยอยปรับเปลี่ยนสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่ความยั่งยืนโดยเร็วที่สุด
.
#พรรคประชาชน #สสเติ้ล
โฆษณา