หลอมรวมยุคสมัย ผ่านดนตรี Jazz Fusion สู่จุดสูงสุดของ Return to Forever
Return to Forever ในยุคที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จที่สุด – ประกอบไปด้วย Chick Corea มือคีย์บอร์ด, Stanley Clarke มือเบส, Lenny White มือกลอง และ Al Di Meola มือกีตาร์ – พวกเขาอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จจากอัลบั้ม "No Mystery" ปี 1975 ที่ชนะรางวัลแกรมมี่
เมื่อพวกเขาเริ่มบันทึกอัลบั้มที่สาม ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายร่วมกันคือ "Romantic Warrior" ปี 1976 อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนทั้งจุดสูงสุดทางความคิดสร้างสรรค์และจุดเปลี่ยนสำหรับวง โดยผสมผสาน Jazz Fusion เข้ากับแนวทางใหม่อย่างกล้าหาญ ซึ่งนำองค์ประกอบของ Progressive Rock และ Classical เข้ามาร่วมด้วย
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของอัลบั้มนี้คือแนวคิดเกี่ยวกับยุคกลาง (Medieval Age) ซึ่งสะท้อนออกมาไม่เพียงแค่ในภาพหน้าปกที่วาดโดย "Wilson McLean" ซึ่งเป็นภาพซับซ้อนเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับภาพวาดต้นฉบับที่มีการตกแต่งอย่างงดงาม แต่ยังปรากฏในชื่อเพลงต่าง ๆ เช่น "Medieval Overture" และ "Duel of the Jester and the Tyrant" แนวคิดนี้ถือว่าไม่ปกติสำหรับวงแจ๊สฟิวชั่น เพราะธีมแบบนี้มักจะถูกนำเสนอโดยศิลปินร็อคและโปรเกรสซีฟร็อคมากกว่า
สมาชิกวงปี 1976 (ซ้ายไปขวา): Lenny White, Stanley Clarke, Chick Corea และ Al Di Meola
ขณะที่เพลงไตเติ้ลอย่าง "The Romantic Warrior" ซึ่งเป็นเพลงปิด Side A ของแผ่นเสียงต้นฉบับ ปี 1976 ยังคงสะท้อนสไตล์นี้ด้วยโครงสร้างทางดนตรี, การผสมผสานโน้ตดนตรีที่ซับซ้อน และการโซโล่ด้วยเทคนิคอันเหนือชั้นของ Corea
Side B ของอัลบั้มมีโทนที่แตกต่างออกไป โดยเปลี่ยนเป็นสไตล์ Jazz-Rock ที่เน้นไปที่ฝีมือของ Al Di Meola โดยเฉพาะ เพลงที่เขาแต่งขึ้นอย่าง "Majestic Dance" เป็นเพลงที่ใช้กีตาร์ไฟฟ้าให้จังหวะที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้เขาได้แสดงทักษะการเล่นอันดุเดือดด้วยความเร็วและความแม่นยำตามสไตล์ของเจ้าตัว พลังของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปกับเพลง "The Magician" ของ Clarke และขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยเพลงปิดอัลบั้มอย่าง "Duel of the Jester and the Tyrant"
ตลอดทั้งเพลงเหล่านี้ ถูกยึดเหนี่ยวด้วยจังหวะเบสที่สนุกสนานของ Clarke สลับกับการตีกลองที่มีความซับซ้อนและเป็นจังหวะเฉพาะตัวของ White ช่วยคงความเป็น Jazz-Rock Fusion ไว้ได้ แม้ว่าเพลงจะครอบคลุมทั้ง Progressive, Classical และ Jazz ความคิดสร้างสรรค์และความเร่าร้อนของ White ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดในเพลงที่เขาแต่งขึ้นอย่าง "Sorceress" ซึ่งมีจังหวะที่แน่นและสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการเรียบเรียงดนตรีที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
Romantic Warrior เป็นมากกว่าแค่อัลบั้ม Jazz Fusion มันเป็นภาพสะท้อนของวงที่อยู่ในจุดสูงสุดแห่งพลังความคิดสร้างสรรค์ กล้าที่จะสำรวจและขยายขอบเขตของแนวดนตรี ผ่านความสามารถทางดนตรีที่แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นงานคีย์บอร์ดอันซับซ้อนของ Corea, การโซโล่กีตาร์อันร้อนแรงของ Di Meola, การเล่นเบสที่แม่นยำของ Clarke และความสร้างสรรค์ทางจังหวะของ White ต่างสะท้อนออกมาผ่านการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
รางวัล Grammy Gold Record
อัลบั้มนี้เลยกลายเป็นอัลบั้มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Return to Forever และได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ (Gold Record Award) ซึ่งช่วยยืนยันตำแหน่งของมันในหน้าประวัติศาสตร์แจ๊สฟิวชั่น