8 พ.ย. เวลา 15:26 • ดนตรี เพลง

หลอมรวมยุคสมัย ผ่านดนตรี Jazz Fusion สู่จุดสูงสุดของ Return to Forever

Return to Forever ในยุคที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จที่สุด – ประกอบไปด้วย Chick Corea มือคีย์บอร์ด, Stanley Clarke มือเบส, Lenny White มือกลอง และ Al Di Meola มือกีตาร์ – พวกเขาอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จจากอัลบั้ม "No Mystery" ปี 1975 ที่ชนะรางวัลแกรมมี่
เมื่อพวกเขาเริ่มบันทึกอัลบั้มที่สาม ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายร่วมกันคือ "Romantic Warrior" ปี 1976 อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนทั้งจุดสูงสุดทางความคิดสร้างสรรค์และจุดเปลี่ยนสำหรับวง โดยผสมผสาน Jazz Fusion เข้ากับแนวทางใหม่อย่างกล้าหาญ ซึ่งนำองค์ประกอบของ Progressive Rock และ Classical เข้ามาร่วมด้วย
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของอัลบั้มนี้คือแนวคิดเกี่ยวกับยุคกลาง (Medieval Age) ซึ่งสะท้อนออกมาไม่เพียงแค่ในภาพหน้าปกที่วาดโดย "Wilson McLean" ซึ่งเป็นภาพซับซ้อนเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับภาพวาดต้นฉบับที่มีการตกแต่งอย่างงดงาม แต่ยังปรากฏในชื่อเพลงต่าง ๆ เช่น "Medieval Overture" และ "Duel of the Jester and the Tyrant" แนวคิดนี้ถือว่าไม่ปกติสำหรับวงแจ๊สฟิวชั่น เพราะธีมแบบนี้มักจะถูกนำเสนอโดยศิลปินร็อคและโปรเกรสซีฟร็อคมากกว่า
สมาชิกวงปี 1976 (ซ้ายไปขวา): Lenny White, Stanley Clarke, Chick Corea และ Al Di Meola
มีการกล่าวว่า Corea อาจได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของ "Rick Wakeman" มือคีย์บอร์ดของวง Yes และนำธีมที่คล้ายคลึงกันมาผสมผสานในอัลบั้มนี้ อย่างไรก็ตาม เสียงดนตรีของวงยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของ Jazz Fusion แม้ว่าจะมีการเล่นในสไตล์ Baroque หรือ Classical เป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในเพลงที่ Clarke แต่งขึ้นอย่าง "The Magician" ซึ่งมีทำนองที่ซับซ้อนและสร้างบรรยากาศที่แสดงถึงความสง่างามของยุคเรเนซองส์ (Renaissance)
ทางด้านดนตรี "Romantic Warrior" ได้แสดงให้เห็นถึงความชำนาญเฉพาะตัวของสมาชิกวงแต่ละคน รวมถึงความสามารถในการเล่นดนตรีร่วมกัน เพลงเปิดอัลบั้ม "Medieval Overture" เป็นการกำหนดทิศทางและแสดงแนวคิดของอัลบั้มอย่างชัดเจน โดยการโซโล่เปียโนอะคูสติกของ Corea ที่แสดงอิทธิพลของดนตรีคลาสสิกผสมผสานกับความเป็นแจ๊สอย่างล้ำลึก ผลงานชิ้นนี้เปรียบเสมือนคำประกาศที่จะนำผู้ฟังไปสู่การผสมผสานระหว่าง Jazz, Rock และ Classical ที่เป็นเอกลักษณ์ตลอดทั้งอัลบั้ม
ขณะที่เพลงไตเติ้ลอย่าง "The Romantic Warrior" ซึ่งเป็นเพลงปิด Side A ของแผ่นเสียงต้นฉบับ ปี 1976 ยังคงสะท้อนสไตล์นี้ด้วยโครงสร้างทางดนตรี, การผสมผสานโน้ตดนตรีที่ซับซ้อน และการโซโล่ด้วยเทคนิคอันเหนือชั้นของ Corea
Side B ของอัลบั้มมีโทนที่แตกต่างออกไป โดยเปลี่ยนเป็นสไตล์ Jazz-Rock ที่เน้นไปที่ฝีมือของ Al Di Meola โดยเฉพาะ เพลงที่เขาแต่งขึ้นอย่าง "Majestic Dance" เป็นเพลงที่ใช้กีตาร์ไฟฟ้าให้จังหวะที่รวดเร็วและรุนแรง ทำให้เขาได้แสดงทักษะการเล่นอันดุเดือดด้วยความเร็วและความแม่นยำตามสไตล์ของเจ้าตัว พลังของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปกับเพลง "The Magician" ของ Clarke และขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยเพลงปิดอัลบั้มอย่าง "Duel of the Jester and the Tyrant"
ตลอดทั้งเพลงเหล่านี้ ถูกยึดเหนี่ยวด้วยจังหวะเบสที่สนุกสนานของ Clarke สลับกับการตีกลองที่มีความซับซ้อนและเป็นจังหวะเฉพาะตัวของ White ช่วยคงความเป็น Jazz-Rock Fusion ไว้ได้ แม้ว่าเพลงจะครอบคลุมทั้ง Progressive, Classical และ Jazz ความคิดสร้างสรรค์และความเร่าร้อนของ White ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดในเพลงที่เขาแต่งขึ้นอย่าง "Sorceress" ซึ่งมีจังหวะที่แน่นและสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับการเรียบเรียงดนตรีที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
Romantic Warrior เป็นมากกว่าแค่อัลบั้ม Jazz Fusion มันเป็นภาพสะท้อนของวงที่อยู่ในจุดสูงสุดแห่งพลังความคิดสร้างสรรค์ กล้าที่จะสำรวจและขยายขอบเขตของแนวดนตรี ผ่านความสามารถทางดนตรีที่แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นงานคีย์บอร์ดอันซับซ้อนของ Corea, การโซโล่กีตาร์อันร้อนแรงของ Di Meola, การเล่นเบสที่แม่นยำของ Clarke และความสร้างสรรค์ทางจังหวะของ White ต่างสะท้อนออกมาผ่านการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
รางวัล Grammy Gold Record
อัลบั้มนี้เลยกลายเป็นอัลบั้มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Return to Forever และได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ (Gold Record Award) ซึ่งช่วยยืนยันตำแหน่งของมันในหน้าประวัติศาสตร์แจ๊สฟิวชั่น
Romantic Warrior ยังถือเป็นการรวมตัวกันครั้งสุดท้ายของสมาชิกใน Lineup นี้อีกด้วย ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง หลังจากที่ได้รังสรรค์ผลงาน, แสดงออกทางดนตรีและบรรลุความสำเร็จทางศิลปะที่ทิ้งผลกระทบต่อวงการ Jazz-Rock และ Fusion ไปอีกหลายทศวรรษ
Cr. AllMusic
---
โฆษณา