9 พ.ย. เวลา 04:09 • สุขภาพ

90% ของความสุขอยู่ในลำไส้! ทำความรู้จัก ‘เซโรโทนิน’ กุญแจไขความสุขที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีความสุขและพลังงานที่เปี่ยมล้นในการดำเนินชีวิต แต่หลายคนกลับพบว่าตนเองติดอยู่ในวงจรของความเหนื่อยล้าและความรู้สึกด้านลบ จนไม่สามารถดูแลตัวเองหรือทำสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมให้สภาพจิตใจแย่ลงไปอีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะหลุดพ้น
แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นพบว่า กุญแจสำคัญที่จะไขความลับนี้อยู่ที่สารเคมีในร่างกายที่เรียกว่า “เซโรโทนิน”
ความเชื่อมโยงระหว่างสมองและลำไส้
ในร่างกายของมนุษย์ มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสมองและลำไส้ ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สมองที่สอง” คำพูดที่ว่า “รู้สึกจุกที่ท้อง” หรือ “ท้องไส้ปั่นป่วน” เมื่อรู้สึกกลัว ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนที่ใช้พูดกันเล่นๆ แต่มีรากฐานมาจากความจริงทางวิทยาศาสตร์
ในลำไส้ของมนุษย์มีเซลล์ประสาทมากถึง 100 ล้านเซลล์ ทำหน้าที่สื่อสารกับสมองผ่านระบบที่เรียกว่า “การสื่อสารกันระหว่างสมองและลำไส้ (gut-brain axis)” โดยมีเซโรโทนินเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสารนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 90% ของเซโรโทนินในร่างกายถูกผลิตขึ้นที่ลำไส้
กลไกการทำงานของเซโรโทนิน
เซโรโทนินทำงานผ่านกลไกสำคัญสองประการ ประการแรกคือการสื่อสารผ่านเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองกับอวัยวะสำคัญต่างๆ รวมถึงหัวใจ กระเพาะอาหาร และลำไส้ เมื่อระดับเซโรโทนินในลำไส้เปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อสัญญาณที่ส่งไปยังสมองโดยตรง
ประการที่สองคือการทำงานผ่านกรดอะมิโนที่เรียกว่าทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งร่างกายได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ทริปโตเฟนจะถูกเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินในสมอง ดังนั้น หากร่างกายไม่ได้รับทริปโตเฟนอย่างเพียงพอ ก็จะส่งผลต่อระดับเซโรโทนินในสมองด้วย
แนวทางการเพิ่มระดับเซโรโทนิน
TJ Power นักประสาทวิทยาศาสตร์จาก Dose Lab ได้นำเสนอแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับเซโรโทนิน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
1. การเดินในธรรมชาติ: กฎทองของเซโรโทนิน
ประเทศญี่ปุ่นมีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า Shinrin-Yoku หรือ “การอาบป่า” ซึ่งเป็นการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการทำ Shinrin-Yoku สามารถลดระดับฮอร์โมนความเครียด ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต และกระตุ้นระบบประสาทที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
มนุษย์ใช้เวลากว่า 300,000 ปีในการวิวัฒนาการท่ามกลางธรรมชาติ การได้กลับไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจึงช่วยปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4
2. พลังแห่งแสงอาทิตย์
1
การรับแสงแดดในช่วงเช้าเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน แสงธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้าและง่วงนอนในเวลาที่เหมาะสม แม้ในวันที่มีเมฆมาก การอยู่กลางแจ้ง 15 นาทีก็ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกาย
3. การดูแลสุขภาพลำไส้
1
เนื่องจากลำไส้เป็นแหล่งผลิตเซโรโทนินที่สำคัญ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ในลำไส้จึงมีความสำคัญ อาหารที่อุดมด้วยโพรไบโอติก เช่น ชาหมัก (Kombucha), กิมจิ, ซาวร์เคราต์ (sauerkraut), ถั่วเหลืองหมัก (Tempeh) รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสและโยเกิร์ต ล้วนช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้
2
4. เทคนิคการหายใจเพื่อความสมดุล
2
การหายใจแบบ “resonance breathing” โดยหายใจเข้า 4 วินาทีและหายใจออก 6 วินาที ช่วยกระตุ้นระบบประสาทที่ควบคุมการผ่อนคลาย ส่งผลให้ระดับเซโรโทนินในร่างกายเพิ่มขึ้น
1
5. การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
การนอนหลับลึก หรือที่เรียกว่า Delta sleep มีความสำคัญต่อการรีเซ็ตตัวรับเซโรโทนินในสมอง การมีกิจวัตรก่อนนอนที่ดี เช่น การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การอ่านหนังสือ หรือการทำสมาธิ จะช่วยให้ได้รับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ
บทสรุป
การเพิ่มระดับเซโรโทนินไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การกลับไปใกล้ชิดธรรมชาติ การดูแลสุขภาพลำไส้ และการมีกิจวัตรที่ดี ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสุขและพลังงานที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้อาจดูเรียบง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นยิ่งใหญ่และยั่งยืน เพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างร่างกายและจิตใจได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองครับผม
2
References :
5 Simple Habits that Will Make You Feel Incredible
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/get-to-know-serotonin/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา