Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
•
ติดตาม
9 พ.ย. เวลา 03:46 • ท่องเที่ยว
จัดเต็ม 10 จุดเช็คอิน ใบไม้เปลี่ยนสีสุดสวย ของ Stowe Vermont U.S.A (Fall Foliage EP.10)
อาทิตย์ 13 ตุลาคม 2567 เรามาตั้งหลักโดยการพักที่เมือง Stowe ราชินีแห่งความงามของการชมใบไม้ร่วงเป็นเวลา 4 คืนเต็ม
โรงแรมที่พักแสนประทับใจ
โดยโรงแรมที่เราเลือกนั้นคือ โรงแรม Stowe Motel & Snowdrift ซึ่งมีความสะดวกมากในหลายประการด้วยกัน
จอดรถหน้าห้องพักได้เลย
ทั้งสามารถจอดรถอยู่หน้าห้องพักได้เลย ขนข้าวของจากในรถได้ตลอดเวลา
และเราเลือกห้องพักห้องริมสุดที่เป็นส่วนตัว มีขนาดใหญ่พิเศษ ราคาไม่แพง เพราะจองล่วงหน้านานเป็นเดือน มีส่วนของครัว ที่ทานอาหาร ส่วนรับแขก ห้องนอน
เตาผิงจากไม้ฟืนจริงตามธรรมชาติ
และที่ไฮไลท์ก็คือ มีเตาผิง (Fireplace) แบบใช้ฟืนจริงๆ เรามีโอกาสได้ใช้เตาผิงทั้ง 4 คืนที่พักอยู่ที่นี่ ได้ซึมซับบรรยากาศของสังคมตะวันตกที่อากาศหนาว แล้วต้องใช้ฟืนให้ความอบอุ่น
วันอาทิตย์นี้ ตามพยากรณ์อากาศจะมีแดดดีไปจนถึง 4 โมงเย็น เราจึงวางแผนที่จะไปเที่ยวตามจุดต่างๆให้เสร็จสิ้นก่อน 4 โมงเย็น เพื่อที่จะหลบฝนตามที่มีการทำนายไว้
โรงนาสีแดงสดใส
จุดแรกที่แวะวันนี้คือ โรงนาสีแดงสดใสชื่อ The 1850 Spear Barn อายุมากกว่า 170 ปี อยู่ห่างจากโรงแรมของเราออกมาเพียงไม่กี่นาที ไม่ได้อยู่ในแผนการเลย เพียงขับรถผ่าน แล้วพอดีสดุดตา ก็แวะเลย ง่ายๆแบบนั้น
อายุเก่าแก่ 100 ปีเศษ
โรงนามีรูปร่างและสีสันที่โดดเด่น สะดุดตามากๆ เรื่องใบไม้เปลี่ยนสีไม่ต้องพูดถึง พีคและสวยสดอยู่แล้ว
บรรยากาศของปศุสัตว์ชนบท
มีฝูงวัวน่ารักมาประกอบฉากด้วย
จุดที่ 2 เราแวะ Waterbury Center State Park ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5 เหรียญสหรัฐ
อุทยานที่เป็นธรรมชาติมากๆ
มีอ่างเก็บน้ำใสสะอาดมาก ต้นไม้รอบรอบอ่างเก็บน้ำเปลี่ยนสีสันไปตามธรรมชาติของฤดูใบไม้ร่วง สวยงามจริง
เรือพายสีสันสดใส เข้ากับใบไม้เปลี่ยนสี
ที่น่าประทับใจมากก็คือ บรรยากาศธรรมชาติแท้ๆ ที่หาได้ยากยิ่งในประเทศไทย มีความสงบ ความใสบริสุทธิ์ และความมีสีสันที่สดใสแต่มารวมอยู่ในที่เดียวกัน
ร้านกาแฟสีแดงสดโดดเด่น
หลังจากนั้นเราก็ขับรถต่อไป บังเอิญผ่านอาคารสีแดงสะดุดตา จึงเลี้ยวรถเข้าไปเลย ตามลักษณะเฉพาะของทริปเรา คืออยากแวะไหน ก็แวะเลย อุตส่าห์ขับรถเที่ยวเองแล้ว นับเป็นจุดที่ 3
มีจุดถ่ายรูปสวยสวยมากมาย
พบว่าเป็นร้านขายอาหารเช้า ที่มีคนต่อคิวเยอะมาก จนกระทั่งเราเลือกที่จะถ่ายรูปภายนอก-ภายในเท่านั้น
คิวยาว จนต้องล่าถอย
เก็บภาพแสนสวยบริเวณรอบๆ ไว้เป็นที่ระลึก แต่คงจะไม่เสียเวลาสั่งอาหารมาทาน
ไอศครีมเจ้าโปรดของผู้เขียน
จุดที่ 4 เราแวะร้านไอศครีมชื่อดังคือเบนแอนด์เจอร์รี่ (Ben & Jerry) ได้แวะลงไปถ่ายรูปจุดเช็คอิน สุสานของไอศกรีมที่ล้มเหลวทางธุรกิจ คือวางตลาดและผู้คนไม่ชอบ ขายไม่ดี ก็เลิกผลิต แต่แทนที่จะเลิกไปเฉยเฉย
สุสานไอศครีม น่าจะเป็นแห่งเดียวของโลก
ก็ช่างเข้าใจคิด นำสัญลักษณ์ของไอศครีมรสชาติที่ล้มเหลวเสียชีวิตทางธุรกิจไปแล้วนั้น มาบรรจุไว้ในสุสานแห่งนี้
บางส่วนของรสชาติไอศครีมที่ตายแล้ว
เช่น White Russian และอีกจำนวนมาก ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่เสนอและปรุงแต่งรสชาติไอศครีมที่เสียชีวิตไปนั้น ยังได้อยู่ทำงานต่อหรือไม่
รสชาติยอดนิยม ที่คนอเมริกันชอบ
ส่วนไอศครีมนั้น วันนี้ไม่ได้ทาน เพราะคิวต่อยาวเหยียดนับเป็น 100 เมตรเลย
จุดถัดไปนับเป็นจุดที่ 5 อยู่นอกแผนอีกเช่นเคย เพราะเป็นทริปตามใจฉันและสโลว์ไลฟ์ ปรากฏว่าเจอร้านสวยน่ารักมาก ขายผลิตภัณฑ์เกษตรชนบทข้างทาง เด่นสะดุดตามาก
ร้านของชาวชนบทอเมริกัน
เลี้ยวแว้บเข้าไปทันทีตามแบบฉบับเฉพาะตัว สวยสมใจจริงๆ เป็นของครอบครัวเกษตรกรที่ขายพืชผักผลไม้ปลอดสารหรือที่เรียกว่าออร์แกนิค ชื่อ Hartshorn’s Organic Farm
ตกแต่งน่ารักมากๆ
แต่งร้านเป็นธรรมชาติอารมณ์ธรรมชาติของผลิตภัณฑ์เกษตรในฤดูใบไม้ร่วงหรือเทศกาลฮาโลวีน สวยน่ารักมาก
พายสามเบอร์รี่อร่อยมาก
อดใจไม่ไหว อุดหนุนสินค้าไปหลายรายการทีเดียว ได้พูดคุยกับทางเจ้าของร้าน พอทราบว่าเรามาจากเมืองไทย ทำท่าทางตกใจว่า ไกลมากนะ ระดับครึ่งโลกบินมาหนึ่งวันเลยใช่ไหม ?
แม้เป็นเกษตรกร แต่ก็มีแนวคิดของการตกแต่ง
เธอบอกว่า ตัวเธอเองยังไม่เคยได้ไปเที่ยวเมืองไทยเลย อยากไปมาก อัธยาศัยของคนอเมริกาในชนบทน่ารักกว่าคนในเมืองใหญ่ น่ารักกว่านักธุรกิจและนักการเมือง คงคล้ายๆกับอีกหลายประเทศทั่วโลก
ถัดจากตรงนั้น นับเป็นจุดที่ 6 ในวันนี้ แต่อยู่ใกล้ๆกันหมด จึงไม่เหนื่อยในการเดินทาง เราก็มาแวะวิสาหกิจเพื่อสังคมซึ่งชื่อ Cabot Creamery พอดีร้านปิดในวันอาทิตย์พอดี
ภาพน่ารักอบอุ่นของครอบครัวชาวอเมริกันชนบท
แต่ในบริเวณเดียวกันนั้น มีร้านขายขนมและของที่ระลึกอยู่ข้างข้างที่เปิดอยู่ จึงแวะเข้าไปเยี่ยมชม สวยงามและน่าซื้อมากๆ
ทุกอย่างสวยน่ารัก
บรรยากาศดี ทั้งการจัดแต่งร้านที่สวยงาม มีกลิ่นหอม อากาศที่เย็นสบาย เราได้ซื้อชีสบอร์ดเล็กๆ ทำด้วยไม้ของพื้นเมืองในย่านนี้
ของดีราคาถูก มีจริงๆ
ที่น่าสนใจก็คือ Factory Second’s ซึ่งคือช็อกโกแลตที่มีราคาประหยัดมาก ทั้งที่คุณภาพและความอร่อยเท่ากับของที่ขายราคาปกติ เพียงแต่ว่ารูปร่างหน้าตาอาจจะตกมาตรฐานไปเพียงเล็กน้อย
ก็เห็นคนอเมริกันรุมซื้อกันมากมาย ของถูก ใครใครก็ชอบ ยิ่งถ้าทราบว่าถูกเพียงเพราะรูปร่างหน้าตา แต่รสชาติและคุณภาพดีมีความคุ้มค่า ก็รุมซื้อกัน
ร้านบรรยากาศธรรมชาติที่สวยมาก
ตอนเที่ยงได้แวะจุดที่ 7 คือ Von Trapp Farmstead ทานอาหารกลางวันแบบชนบทอเมริกัน ง่ายง่าย แบบปิกนิกกลางแจ้ง
เบอร์เกอร์น่าทาน
แฮมเบอร์เกอร์อร่อยมาก รวมทั้งมี Tripple Berries Pie ที่เราซื้อมาจากร้านออร์แกนิคฟาร์มที่เล่าไปแล้ว
สวยทุกจุด น่ารักทุกมุม
ทานอาหารอร่อยในบรรยากาศท้องทุ่งฤดูใบไม้ร่วงของ Vermont ขนานแท้อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 6-10 องศาเซลเซียส
สะพานไม้เล็กๆที่โดดเด่น
จุดถัดไปเป็นลำดับที่ 8 ขับมาไม่ไกลนักก็เป็นกรณีนอกแผนเช่นเคย เป็นสะพานมีหลังคาชื่อ Pine Brook Bridge น่ารักมาก อยู่ไม่ไกล สวยงาม แต่คนไม่ค่อยรู้จัก
ก็เลยถือโอกาสลงมาเดินเล่น สัมผัสธรรมชาติและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่มีคิวคนที่จะรอถ่ายรูป ไม่ต้องคอยระวังรถเหมือนสะพานมีหลังคาชื่อดังอื่นที่ผ่านมา
ส่วนไฮไลท์ของวันนี้คือจุดที่ 9 เกิดขึ้นในช่วงบ่ายคือ การแวะไปเยี่ยมชมโรงแรม Sugarbush ซึ่งตอนที่เราเริ่มขับรถเข้ามาในบริเวณที่จะมุ่งสู่โรงแรม
Wow
ก็ต้องร้องว่า Wow จริงๆครับ Wow มาก เพราะเราเห็นภูเขาทางด้านหลังของโรงแรม มีสีสันฉูดฉาดจัดจ้าน พีคสุดสุด ของใบไม้บนภูเขาที่เปลี่ยนสีกันเต็มไปหมด
โรงแรมท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสี
ไม่ว่าจะเป็นเขียว เหลือง แดง น้ำตาล เป็นกันไปหมดทั้งภูเขา ซึ่งปกติในฤดูหนาวใช้สำหรับเล่นสกี แต่ในฤดูใบไม้ร่วงก็มีชื่อเสียงมาก
วิวบริเวณที่จอดรถยังสวยขนาดนี้
เราโชคดีมากที่มาตรงกับพีค เรียกว่าถ้าไม่ 100% ก็เกือบ 100% ของการเปลี่ยนสี
ถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อย ทั้งจากกล้อง Canon ตัวเล็กของเรา และ iPhone 16 Pro ที่เพิ่งซื้อใหม่ ถ่ายทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว
อีกมุม
โชคดีที่หลังจากเราได้ถ่ายรูปและชื่นชมบรรยากาศจนเป็นที่พอใจแล้ว ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาตอน 4 โมงเย็นเป๊ะ ตรงกับการพยากรณ์อากาศทุกประการ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เราจึงเข้าไปหลบฝน ด้วยการนั่งทานอาหารในร้านอาหารที่บรรยากาศดีมากภายในโรงแรม ได้สั่งเบอร์เกอร์(อีกแล้ว เพราะชอบ) มาทาน อร่อยเหลือเกิน
น่าทานมาก
เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว ขากลับเราก็ขับรถมาอีกเพียง 15 นาที ก็ผ่านเมืองหลวงของรัฐนี้ ชื่อว่า Montpelier มีอาคารรัฐสภาที่มีโดมสีทองโดดเด่นมาก นับเป็นจุดที่ 10
อาคารรัฐสภา
แล้วเราก็ขับรถกลับ มุ่งหน้าสู่เมือง Stowe ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที ในทิศทางที่สวนกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ซึ่งกำลังออกจากเมือง Stowe เพื่อกลับไปทำงาน รถจึงติดกันมาก ยาวเหยียดหลายกิโลเลย เพราะอยู่ในช่วงวันหยุดยาวเทศกาล Columbus Day
Stowe เมืองหลวงของย่านนี้
แต่ในทิศทางของเรา ไม่มีการจราจรที่ติดขัดเลย เมื่อเกือบจะเข้าสู่ตัวเมือง ซึ่งรถจะเริ่มติดบ้าง เราก็ขับอ้อมเมืองบายพาสมาเข้าทางด้านข้างของโรงแรม สามารถถึงที่พัก โดยไม่เจอกันการจราจรติดขัดเลย และเจอฝนเพียงเล็กน้อย
วันนี้ถือว่าหลากหลายมาก สิบจุดที่ประทับใจ สำหรับทริปการท่องเที่ยวใบไม้ร่วง แต่ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากนัก เพราะจุดของความหลากหลายต่างๆนั้น อยู่ใกล้กันหมด และสามารถหลบสภาพการจราจรหนาแน่นได้สำเร็จด้วย
กลับมาถึงที่พักด้วยความอิ่มเอิบใจ ผู้เขียนก็เลยไปจัดการก่อไฟในเตาผิง โดยการไปหยิบท่อนไม้ขนาดพอสมควรจากด้านหน้าห้องของเราซึ่งทางโรงแรมจัดไว้ให้
ผิงไฟอุ่นอุ่นอย่างมีความสุข
แล้วนำมาก่อฟืนตรงเตาผิง มีเรื่องตื่นเต้นเล็กๆ คือเราก่อไฟแรงไปหน่อย สักพักนึงก็มีเสียงร้องดังและแหลมมากอยู่ในห้อง พบว่าเป็นสัญญาณของการตรวจจับควัน ต้องรีบขึ้นไปกดให้หยุด แล้วมานั่งแบบสบายๆหน้าเตาผิงแสนอบอุ่น ในขณะที่อุณหภูมิภายนอก 2 องศาเซลเซียส หนาวนอก แต่อุ่นใน(ห้อง)
ท่องเที่ยว
ข่าวรอบโลก
ไลฟ์สไตล์
1 บันทึก
19
2
3
1
19
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย