9 พ.ย. เวลา 08:06 • นิยาย เรื่องสั้น

93. คุณตุ่น

งานเลี้ยงรุ่นของสามี จะมีขึ้นสองปีต่อครั้งให้ได้พบปะยินดีกัน สมัยที่เรียนจบโรงเรียนการไปรษณีย์ที่ซอยสายลม(ปัจจุบันมี รร.การไปรษณีย์ที่หลักสี่ ใกล้สำนักงานใหญ่ ) พอเรียนจบต่างคนก็จะต้องไปทำงานต่างจังหวัดอย่างน้อยคนละสองปี พอกลับกรุงเทพฯก็ถูกส่งไปประจำการตามปณ.ต่างๆ ต่างคนต่างใช้ชีวิต บ้างก็มีเมียตามมาจากต่างจังหวัด บ้างก็เมาตลอด ที่ได้เมียดีก็ค้าขายร่ำรวยไป เป็นหนี้ตลอดชีวิตก็เป็นไป ได้ลูกดีเป็นที่ชื่นชมก็มากมาย
คุณตุ่นเป็นสาวร่างหมี ผิวออกคล้ำ ช่างเจรจา แต่งงานกับหนุ่มปณ.เรียกกันเล่นๆว่าไอ้เจ๋อ..เจ๋อรักความก้าวหน้าเรียนต่อปริญญาตรี และปริญญาโทที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนุ่มเจ๋อได้เจอสาวตุ่นที่มหาวิทยาลัยบ่อยๆ รักกัน แต่งงานกันมีลูกสาวสวยสามคน ก็ไม่ได้รักเรียนเท่าพ่อ
คุณเจ๋อเรียนเก่ง ทำงานดี ก้าวหน้าเร็วมาก ได้เป็นฝ่ายฯ ตั้งแต่เพื่อนฝูงเพิ่งไต่เต้าเป็นหัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์ ขออธิบายนิดนะคะ พอเรียนจบรร.การไปรษณีย์ก็เป็นพนักงานระดับต้นๆก่อน แล้วไต่เต้าขยับเลื่อนซีไปเรื่อยๆด้วยการสอบ บ้างก็สอบย้ายตำแหน่ง ย้ายกอง ระดับสูงสุดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่วนใหญ่มาจากสายนักการเมือง,รองกก.ผจก.ใหญ่, ผู้อำนวยการฝ่ายฯ เป็น3อันดับแรกๆของฝ่ายบริหาร
เวลาไปไหนเพื่อนฝูงก็จะห้อมล้อม ไม่ได้เอออวยฝ่ายฯเจ๋อมากมายแต่เป็นเพราะคุยสนุกเฮฮา ที่สำคัญฝ่ายฯเจ๋อไม่ได้คุมกำลังพลเหมือนสามีเรา คนวิ่งโยกย้าย ปรับแต่งตำแหน่งกันทั้งปีทั้งชาติ...แต่กระนั้นฝ่ายเจ๋อก็มีคนวิ่งเข้าหามากมาย เผื่อได้...ว่างั้นเถอะ ตอนนั้นสามีเราเป็นแค่หัวหน้าปณ.พระโขนง
เราพยายามไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นทุกๆครั้ง ได้พบปะเพื่อนฝูงที่จากกันไปนาน เมื่อคราวที่ไปภูเก็ตบังเอิญได้พบคุณตุ่น เธอพูดน้อยลง เหมือนจะหยิ่ง ถามคำตอบคำ ตอนนั้นสามีเธอเพิ่งได้เป็นฝ่ายฯ ใหญ่โตกว่าเพื่อนได้เจอกันอีกทีที่ปราณบุรี
ดิฉันยิ้มร่าเข้าไปทักทาย
"สวัสดีค่ะ เด็กๆไม่ได้มาด้วยรึคะ" คุณตุ่นตวัดสายตามอง ถามเสียงแข็งว่า
"ทำไมรึ...คะ?"
ดิฉันสงบปาก ถอยกรูด...ในใจก็ได้แต่นึกว่าเธอป่วยรึเปล่า แอบถามคนใกล้ชิด เขาว่าเธอสบายดี แค่ไม่อยากคุยกับใครเพราะสามีเป็นใหญ่ซะแล้ว
แล้วไปเราจะได้เจียมตัว จากนั้นมาดิฉันก็ไม่คุย ไม่ทักทายคุณตุ่นอีกเลย ลอบสังเกตด้วยว่าเธอญาติดีกับใครบ้างไหมแล้วก็กลับไปหาข้อมูลดูว่าอาการแบบนี้เป็นโรคอะไรไหม เสียเวลาเปล่าค่ะไม่ใช่โรคแต่เป็นนิสัยเสียๆของคน
คุณตุ่นเคยเป็นคนยิ้มง่าย ช่างเจรจา มันหายไปตั้งแต่สามีเป็นใหญ่ แถมมีคนไปสืบมาด้วยว่าเธอไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัยแต่เป็นพนักงานการเงิน มีคนมายุว่าเวลามีคนเรียกเราว่าอาจารย์ คุณตุ่นมองตาขวาง ไม่เป็นไร เขาคงไม่ชอบเรา และเราก็เป็นครูบาอาจารย์จริงๆ
ในฐานะภรรยาท่านฝ่ายฯ คุณตุ่นเชิญชวนให้ทุกคนร่วมสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ตัวเองเป็นประธาน ทำอีท่าไหนไม่รู้ เงินไม่พอ มีคนมากระซิบให้มาบอกดิฉัน ขอให้ร่วมบุญด้วย คุณตุ่นไม่มาบอกเอง แต่ให้ลูกน้องของฝ่ายฯเจ๋อมาบอกแทน
"สักห้าหมื่นกำลังดี อาจารย์" ดิฉันยิ้ม...สบตาคุณตุ่นพอดี พูดเสียงดังว่าพี่กำลังจะสร้างพระพอดีค่ะ จะเอาไปประดิษฐานไว้ที่บ้านต่างจังหวัด มีงบอยู่ล้านกว่าๆ"
คุณตุ่นสะบัดหน้าพรืด.. แปลว่านางรับรู้ว่าดิฉันไม่อยากร่วมบุญกับด้วย
ตอนที่มีงานเลี้ยงฉลองสามีเราที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นฝ่ายฯ เพื่อนฝูงมาเลี้ยงแสดงความยินดีกันรวมทั้งฝ่ายฯเจ๋อแต่คุณตุ่นไม่มา มีคนเม้ามอยกันว่า ฝ่ายฯสามีเรามาแรง แซงโค้ง ว่าใครจะได้ขึ้นเป็นรองฯก่อนกัน (ชวดทั้งคู่ค่ะ การเมืองอยู่แล้วตำแหน่งนี้ ) ดิฉันกับคุณตุ่นไม่มีอะไรกันมาก่อนเลย อิจฉากันรึก็เปล่า ไม่รู้ว่าไม่ชอบหน้ากันเพราะอะไร เจ้ากรรมนายเวรกันรึไม่ ไม่เป็นไรไม่ต้องสมาคมกันก็ได้ ดิฉันจบความสัมพันธ์กับคุณตุ่นไปตั้งแต่บัดนั้น
เจอกันเมื่อเดือนก่อน คุณตุ่นนั่งวีลแชร์มาร่วมงานเลี้ยงรุ่น ดิฉันเดินเข้าไปทักทาย จับมือเธอไว้ ถามเธอว่า
"อยากพูดกับดิฉันมั้ยคะ..."
มันเป็นคำถามเดิมที่ดิฉันคาใจ คุณตุ่นบีบมือตอบเบาๆลูกสาวคุณตุ่นบอกเสียงเศร้าว่า
"แม่พูดไม่ได้แล้วค่ะ"
"Richy"
9 พฤศจิกายน2567
(ปล. อย่าเพิ่งหยิ่งยะโส จนไม่อยากพูดกับใคร แล้วเลยไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย...)
โฆษณา