9 พ.ย. เวลา 15:41

EP44 พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ใครได้ประโยชน์? ใครเสี่ยงเสียอธิปไตย?

ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและยืดเยื้อ โดยเฉพาะในบริเวณอ่าวไทยที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อนกันมากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร ตามการประกาศพระบรมราชโองการของไทยในปี 2516 และการอ้างสิทธิของกัมพูชาในช่วงต้นปี 1970
พื้นที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดสนใจทางภูมิศาสตร์ แต่ยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจากมีการประเมินว่าพื้นที่ทับซ้อนนี้อาจมีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติประมาณ 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันอีก 500 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท รวมแล้วทรัพยากรในพื้นที่นี้อาจมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านบาท
จุดเริ่มต้น-จุดสิ้นสุด MOU44
พระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เป็นการยืนยันอธิปไตยของไทยในพื้นที่ทางทะเล ซึ่งมีผลตามกฎหมายและต้องได้รับการบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน โดยพระบรมราชโองการนี้มีความสำคัญในการกำหนดเขตแดนทางทะเลของไทยและปฏิเสธการประกาศขีดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล
จุดเริ่มต้นของ MOU 44 เกิดขึ้นในปี 2544 เพื่อจัดการกับข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมากในสังคมไทย เนื่องจากหลายฝ่ายเห็นว่า MOU นี้อาจขัดแย้งกับพระบรมราชโองการ
จนกระทั่งในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติให้ยกเลิก MOU 44 โดยเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจนี้ เนื่องจากความไม่คืบหน้าในการเจรจาและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา แม้ว่าการยกเลิก MOU จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่ามีผลผูกพันทางกฎหมายที่ชัดเจน และยังคงมีผลจนถึงปัจจุบัน
มุมมองผลกระทบจาก MOU 44
ในการพูดถึงการจัดการพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในงาน Dinner Talk Vision for Thailand 2024 โดยนายทักษิณ ชินวัตร มีการอภิปรายเกี่ยวกับ MOU 44 ซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในมุมมองของประโยชน์ที่ได้จาก MOU 44 นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้:
  • ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: การขาดความชัดเจนในเขตแดนทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการลงทุนและพัฒนาทรัพยากรใต้ทะเล เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านบาทในพื้นที่ทับซ้อน
  • ความเสี่ยงจากการเจรจา: การเจรจาภายใต้ MOU 44 อาจทำให้ไทยต้องแบ่งผลประโยชน์กับกัมพูชาในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความได้เปรียบทางเทคโนโลยีและทรัพยากรของไทย
  • การยอมรับอธิปไตย: กัมพูชาได้รับการยอมรับว่ามีสิทธิในการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ
  • การเข้าถึงทรัพยากร: MOU 44 ช่วยเปิดโอกาสให้กัมพูชาสามารถเข้าถึงทรัพยากรใต้ทะเลที่มีมูลค่าสูง โดยมีการคาดการณ์ว่าพื้นที่นี้อาจมีน้ำมันประมาณ 500 ล้านบาร์เรล
  • การสนับสนุนจากต่างชาติ: การมี MOU 44 ทำให้กัมพูชาสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่สนใจในทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
บทสรุป
ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทยถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญต่อทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ การนำหลักกฎหมายสากลในการอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการใช้ MOU 44 ซึ่งได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง การพิจารณาถึงหลักการทางกฎหมายสากลจะเป็นการยืนยันสิทธิอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน ข้อเสนอแนะคือการนำเสนอกรอบการเจรจาใหม่ที่เน้นหลักการกฎหมายสากลเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทยในระยะยาว
บทความอ้างอิง
  • กระทรวงการต่างประเทศ. (2023). กระทรวงการต่างประเทศ งัดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ยืนยัน ‘เกาะกูด‘ เป็นของไทย. Bangkok Biz News.
  • Asianews network. (2024). PM Paetongtarn affirms both Thailand, Cambodia recognise Ko Kut as Thai territory under French Treaty
  • สุธามาส ทวินันท์. (2024). พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เจรจาครั้งใหม่จะสำเร็จหรือไม่?.thestandard.
โฆษณา