11 พ.ย. เวลา 04:44 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Shawshank Redemption

ความหวัง มิตรภาพ และความเพียร
สตีเว่น คิง ได้รับการยอมรับในฐานะนักเขียนแนวสยองขวัญ และเป็นแหล่งต้นทางสำคัญสำหรับการดัดแปลงงานในฮอลลีวูด ครอบคลุมตั้งแต่ทศวรรษ 1970 กระทั่งถึงปัจจุบัน ตั้งแต่นิยายและเรื่องสั้นของเขาที่กลายเป็นหนังสยองขวัญชื่อดัง เช่น Carrie ของไบรอัล เดอ พัลม่า, The Shining ของสแตนลีย์ คูบริค , Stand by Me และ Misery ของร็อบ ไรเนอร์ ความสำเร็จของหนังที่สร้างจากงานนิยายของเขายังคงถูกนำมาดัดแปลงจนถึงทุกวันนี้
แต่น่าแปลกที่ว่าหนังที่ได้ชื่อว่าสร้างจากเรื่องที่ดีที่สุดของคิงกลับไม่ได้มาจากนิยายหรือเรื่องสั้นสยองชวัญ แต่เป็นงานงานที่พูดถึงเรื่องชีวิตและแรงบันดาลใจอย่างจริงจังอย่าง The Shawshank Redemption และ The Green Mile ซึ่งมาจากฝีมือของผู้กำกับคนเดียวกัน คือ แฟรงค์ ดาราบอนต์
The Shawshank Redemption กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยกย่องสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูด ถึงกระนั้นเมื่อภาพยนตร์ออกฉายในปี 1994 กลับไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ โดยทำเงินเพียง 16 ล้านดอลลาร์ในอเมริกาเหนือ จากทุนสร้าง 25 ล้าน และแม้่ว่าจะทำรายได้รวยมทั่วโลกไปประมาณ 75 ล้าน แต่ถือว่า The Shawshank Redemption เป็นหายนะของบ็อกซ์ออฟฟิศในปีนั้น แต่ The Shawshank Redemption ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นตำนาน
The Shawshank Redemption ดัดแปลงจากเรื่องสั้นในปี 1982 ของคิง เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นส่วนใหญ่ในเรือนจำชอว์แชงก์ในรัฐเมน โดยติดตามชีวิตของแอนดี้ ดูเฟรนส์ (ทิม ร็อบบินส์) นายธนาคารที่ถูกตัดสินจำคุกในข้อหาฆ่าภรรยาและชายชู้ เมื่อเขามาถึงเรือนจำชอว์แชงก์ แอนดี้ได้ผูกมิตรกับนักโทษร่วมเรือนจำชื่อเรด (มอร์แกน ฟรีแมน) และใช้สติปัญญาในการต่อกรกับระบบเรือนจำที่โหดร้าย โดยใช้ความรู้ทางการเงินเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่เรือนจำและผู้คุม รวมถึงเพื่อนนักโทษด้วยกัน
ความยาวของ 142 นาทีเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและผู้เขียนบท แฟรงค์ ดาราบอนต์ นำผู้ชมเข้าสู่โลกของเรือนจำชอว์แชงก์อย่างลึกซึ้ง ทั้ง โครงสร้างทางสังคม และระบบอำนาจในเรือนจำถูกถ่ายทอดอย่างละเอียด ตัวหนังเล่าเรื่องช้าๆ ไม่ได้เน้นการเร่งรัดในช่วงแรก แต่พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแอนดี้และเรดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฉากสั้นๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตในเรือนจำของแอนดี้มักจบลงด้วยความสะเทือนใจ หรือบางครั้งก็ดึงดูดอารมณ์ของผู้ชมให้ผูกพันกับชีวิตของเขา ซึ่งก็มักจะมีความสมบูรณ์ในตัวเองของฉากนั้นๆ
แฟรงค์ ดาราบอนต์ตระหนักดีว่าความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งที่ผู้ชมสามารถเข้าใจชีวิตและการดิ้นรนของแอนดี้ได้อย่างแท้จริง ถ้าผู้ชมไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับความล้มเหลวและความสำเร็จของเขา เรื่องราวจะไม่ทรงพลังเท่าที่ควร
ดาราบอนต์ได้วางรากฐานเรื่องราวของแอนดี้ในชอว์แชงก์อย่างพิถีพิถัน ทุกๆ รายละเอียด ล้วนถูกให้ความสำคัญ ช่างภาพ โรเจอร์ เดียคินส์ ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกกดดันและแปลกแยกในเรือนจำผ่านการจัดภาพ เช่น ภาพที่แสดงให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวของแอนดี้ในห้องขัง และความกดดันที่เขาต้องเผชิญจากระบบที่ไร้ความเมตตา ดาราบอนต์และเดียคินส์ใช้ภาพที่มีความหมาย สื่อถึงความอึดอัดและการดิ้นรนของแอนดี้ในเรือนจำ ทั้งหมดนี้ทำให้หนังมีพลังในการสื่อสารถึงความหวังและความกล้าหาญของตัวละครได้อย่างน่าประทับใจ
เนื้อหาส่วนใหญ่ของเล่าเรื่องอย่างช้าๆ ผ่านการดำเนินชีวิตของแอนดี้ในเรือนจำ จากช่วงแรกที่เหมือนเป็นการเล่าชีวิตชายผู้หนึ่งที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมไปสู่จุดจบที่พลิกผันและทรงพลัง แอนดี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง การปลดปล่อย และแรงบันดาลใจสำหรับผู้ชม
ตัวละครบางตัวก็ทำให้ผู้ชมน้ำตารื้นได้ อย่างบรู๊คส์นักโทษผู้ถูกปล่อยตัวหลังจากอยู่ในเรือนจำมากว่า 50 ปี เป็นภาพสะท้อนของคนที่ไม่มีที่ไป ไม่มีครอบครัว และรู้สึกแปลกแยกจากโลกภายนอก การสูญเสียเป้าหมายในชีวิตของเขา ทำให้ผู้ชมตระหนักถึงความสำคัญของการหาที่ทางของตนเองในโลกนี้และการดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวังและความฝัน ซึ่งบรู๊คส์ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เขาเลือกที่จะจบชีวิตตนเองไป
The Shawshank Redemption กลายเป็นภาพยนตร์ที่ส่งพลังบวกและแรงบันดาลใจในเรื่องความหวัง ความอดทน และมิตรภาพ เช่นคำพูดของแอนดี้ที่บอกว่า
"จำไว้นะเรด ความหวังเป็นสิ่งที่ดี บางทีอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และไม่มีสิ่งดีใดที่ตายจากไป" ซึ่งทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงพลังของความหวังที่แอนดี้มีและสามารถเปลี่ยนชีวิตของเขาในที่สุด
แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด แอนดี้ไม่เคยสูญเสียความหวัง ความหวังช่วยให้เขาทนทานต่อความลำบากในเรือนจำ รวมถึงการถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานาน และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนนักโทษ โดยเฉพาะเรดที่ได้รับอิทธิพลจากเขาจนกระทั่งในที่สุดเรดก็ได้รับการปล่อยตัวหลังล้มเหลวมาหลายครั้ง
นอกจากความหวังที่ชัดเจนแล้ว ยังมีพลังของมิตรภาพแทรกอย่างอบอุ่นตลอดเรื่อง แอนดี้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนนักโทษ ซึ่งมิตรภาพเหล่านี้เป็นแหล่งพลังใจและการสนับสนุน เรดเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของแอนดี้ในเรือนจำ แสดงตัวอย่างที่งดงามของการที่มิตรภาพสามารถมอบความสบายใจ การสนับสนุน และความหวังในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แอนดี้และเรดต่างก็ได้รับการไถ่บาปและเริ่มชีวิตใหม่จากพลังแห่งมิตรภาพและความหวังที่มีต่อกัน
แอนดี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายแต่ไม่เคยยอมแพ้ เขามุ่งมั่นทำตามเป้าหมายไม่ว่าจะยากเพียงใด สุดท้ายเขาก็สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ เขาใช้เวลา 19 ปีในการขุดอุโมงค์ออกจากกำแพงห้องขังด้วยค้อนหินเล็กๆ และต้องคลานผ่านท่อน้ำเสียยาวกว่า 500 หลาเพื่อหลบหนี ดังที่เรดบรรยายว่า
"แอนดี้ ดูเฟรนส์ ชายผู้คลานผ่านของเสียกว่า 500 หลา และออกมาสู่โลกภายนอกในสภาพสะอาดหมดจด"
ท้ายที่สุด The Shawshank Redemption เป็นเรื่องราวที่ทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจ สอนให้เรารู้ถึงคุณค่าของความหวัง มิตรภาพ และความเพียรพยายาม และการดิ้นรนต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่าไม่ว่าจะเป็นในเรือนจำหรือในชีวิตจริง
โฆษณา