Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
11 พ.ย. เวลา 05:58 • กีฬา
ทำผิดแล้วกล้าขอโทษ วันที่ฟาน นิสเตลรอย แยกทางกับปีศาจแดง
รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นคนที่แฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชื่นชม เพราะสมัยเป็นนักเตะก็ยิงประตูกระจาย พอมาเป็นโค้ชก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
ไม่ว่าอนาคตจะได้ร่วมงานกันอีกไหม แต่ "รุด" จะเป็นบุคคลที่อยู่ในความทรงจำของแฟนๆ ปีศาจแดงไปอีกนาน
เมื่อเราพูดถึงฟาน นิสเตลรอยสมัยเป็นนักเตะ เขาเริ่มต้นกับทีมได้ร้อนแรง แต่ฉากจบกลับไม่ค่อยสวย แยกทางกันไปด้วยความขุ่นมัวใจของทุกฝ่าย
เรื่องราวตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น แล้วมันถูกแก้ไขอย่างไร เราจะย้อนอดีตไปด้วยกันนะครับ
ช่วงเริ่มต้นค้าแข้ง ฟาน นิสเตลรอย สร้างชื่อเสียงด้วยการคว้าดาวซัลโวลีกดัตช์สองสมัยซ้อน กับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทำให้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตั้งใจแล้วว่ายังไงก็ต้องซื้อ เพื่อเอามาเล่นกองหน้าตัวเป้าให้ได้
1
เฟอร์กี้ต้องการจะซื้อตั้งแต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2000 แต่ฟาน นิสเตลรอยขาหัก พัก 1 ปี เฟอร์กี้ก็ยังรอ สุดท้ายในซัมเมอร์ปี 2001 พออาการบาดเจ็บหายดี ก็ทุ่มเงิน 19 ล้านปอนด์ดึงตัวมาเสริมทัพจนได้
สไตล์การเล่นของฟาน นิสเตลรอย คือหัวหอกแบบ Poacher ขนานแท้ นั่นคือ มีหน้าที่ยิงอย่างเดียว
นี่เป็นนักเตะที่เข้าฮอสได้อย่างเด็ดขาด ประตูของเขาส่วนใหญ่มาจากการยิงในกรอบ 6 หลา เขาเป็นคนจมูกไว ยืนถูกที่ถูกเวลาเสมอ
ส่วนร่างกายก็แข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ 188 ซม. เล่นลูกโหม่งได้ ใช้เท้าซ้าย-เท้าขวาได้ดีพอกัน
ไม่ใช่แค่ลูกง่ายๆ แต่ลูกที่ใช้ทักษะสูงๆ ฟาน นิสเตลรอย ก็เคยทำได้ เช่น ประตูที่ยิงใส่ฟูแล่มในปี 2003 ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประตูที่สวยงามที่สุด เพราะเขาใช้พละกำลังเอาชนะคู่แข่งกลางสนาม จากนั้นโชว์ความเร็วแบบ "เปลี่ยนเกียร์" แหวกผู้เล่นฟูแล่ม 4 คน แล้วยิงสวนตัวผู้รักษาประตูไปแบบคมกริบสุดๆ
1
นอกเหนือจากความเก่งแล้ว ฟาน นิสเตลรอย ยังสม่ำเสมอมากๆ เขายิงประตูได้ทุกที่ ทุกเวลา สนามเหย้า สนามเยือน ซัดได้หมด
สถิติหนึ่งที่น่าทึ่ง คือ 95 ลูกของฟาน นิสเตลรอย ที่ยิงได้ในพรีเมียร์ลีก เขายิงในบ้าน 48 ลูก ยิงในเกมเยือน 47 ลูก ยิงในครึ่งแรก 48 ลูก ยิงในครึ่งหลัง 47 ลูก จะเห็นเลยว่า เป็นนักเตะที่เก่งทุกสถานการณ์ ขอแค่มีเขาอยู่ในสนาม ก็มีโอกาสได้ประตูเพิ่มแน่นอน
1
รอย คีน กัปตันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขณะนั้น กล่าวว่า "รุดเป็นตัวจบสกอร์ที่เก่งที่สุด โดยเฉพาะจังหวะดวล 1 ต่อ 1 ผมไม่เคยสงสัยในตัวเขาเลย ถ้าเขาหลุดเดี่ยวไป ก็เหมือนไม่มีนายทวารนั่นแหละ คือยิงเข้าแน่นอน"
ในฤดูกาล 2002-03 ฟาน นิสเตลรอย คว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 25 ประตู และพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ นั่นคือเกียรติประวัติอันยอดเยี่ยมในชีวิตการค้าแข้งของเขา
แพสชั่นในชีวิตของเขาคือการยิงประตู ไม่มีเรื่องไหนจะสำคัญไปกว่านี้แล้ว
ฟาน นิสเตลรอย คิดถึงเรื่องการยิงประตูเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทีมจะแพ้ จะชนะ ก็ยังไม่มีความหมายเท่า
ไรอัน กิ๊กส์ เล่าให้ฟังว่า "ถ้าเราชนะ 3-0 แต่เขาพลาดในจังหวะที่ควรยิงได้ หลังจบเกม เขาจะนั่งอยู่ที่มุมห้องแต่งตัวด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก"
มีเหตุการณ์หนึ่งน่าสนใจดี ในฤดูกาลแรกของฟาน นิสเตลรอย วันที่ 16 มีนาคม 2002 แมนฯ ยูไนเต็ด เจอ โบลตัน โดยนัดนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยิงแฮตทริกให้ทีมนำไปก่อน 3-0 ช่วงท้ายเกมเหลืออีกไม่กี่นาที กิ๊กส์จ่ายบอลให้ฟาน นิสเตลรอย แท็บอินจ่อๆ เข้าประตู ให้ทีมชนะ 4-0 ซึ่งพอยิงได้ปั๊บ ฟาน นิสเตลรอย วิ่งมาหากิ๊กส์แล้วตะโกนด้วยเสียงดังว่า "ขอบคุณ! ขอบคุณ!"
1
แม้ทีมจะชนะขาดไปแล้ว หรือแม้มันจะไม่ใช่ลูกที่สวยงามอะไร แต่ฟาน นิสเตลรอย จะดีใจเหลือเกินที่ยิงได้
ฟาน นิสเตลรอย อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5 ฤดูกาล แต่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 1 สมัยเท่านั้น (2002-03) โดยอีก 4 ซีซั่นที่เหลือ โดนอาร์เซน่อล กับ เชลซี แบ่งแชมป์กันไปทีมละ 2 สมัย
คำถามคือ เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด มีกองหน้าระดับโลกอย่างฟาน นิสเตลรอย ทำไมถึงประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
คำตอบคือ เพราะการมีอยู่ของฟาน นิสเตลรอย ทำให้คู่แข่งจับทางแมนฯ ยูไนเต็ดได้ง่ายขึ้น
ฟาน นิสเตลรอย เป็นกองหน้าตัวเป้าเบอร์ 9 เรื่องความคมในกรอบเขตโทษไม่มีใครเกิน แต่ปัญหาคือ เขาเล่นบอลสไตล์อื่นไม่ได้เลย
95 ลูก ที่ยิงได้ในพรีเมียร์ลีก เป็นการยิงนอกกรอบเขตโทษแค่ 1 ลูกเท่านั้น ขณะที่สถิติแอสซิสต์ก็น้อยมาก เฉลี่ยแล้วไม่เกิน 3 ครั้งต่อฤดูกาล
ฟาน นิสเตลรอย ยืนค้ำในเขตโทษอย่างเดียว เขาฉีกออกไปริมเส้นแบบเธียร์รี่ อองรีไม่ได้ หรือถอยลงต่ำเพื่อเชื่อมกองกลางแบบอเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ไม่ได้
พอปักหลักในเขตโทษอย่างเดียว เพื่อรอบอลจากเพื่อนๆ ที่ป้อนส่งมาให้ คู่แข่งก็จับทางง่าย รู้ว่ายังไงก็ต้องป้อนบอลมาในเขตโทษแน่ๆ ส่งผลให้คุณภาพเกมรุกของปีศาจแดงโดยรวมๆ ก็ลดลงไป
เฟอร์กูสันเคยอธิบายในภายหลังว่า "ตอนแรกสุด ผมคิดว่าระยะของฟาน นิสเตลรอย จะกว้างกว่านี้ ผมคิดว่าเขาจะเล่นได้มากกว่าแค่ในกรอบเขตโทษ"
การปล่อยฟาน นิสเตลรอย ออกไปจากทีม ถามว่าเรื่องในสนามเกี่ยวไหม ก็เกี่ยวแน่นอน มันคือหนึ่งในเหตุผล
แต่สาเหตุหลักจริงๆ ที่ทำให้เขาอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อไปไม่ได้ เป็นเพราะเรื่อง "การล้ำเส้น" ที่เขาทำกับเพื่อนร่วมทีม และผู้จัดการทีม
คนแรกที่ฟาน นิสเตลรอย มีปัญหาด้วยคือคริสเตียโน่ โรนัลโด้
เมื่อก่อนตอนที่ร่วมงานกับเดวิด เบ็คแฮม ฟาน นิสเตลรอยแฮปปี้มาก เพราะเบ็คแฮมคือปีกที่ชอบแอสซิสต์บอล เขาจะจ่ายบอลมาอย่างแม่นยำเสมอ จนกองหน้ายิงประตูได้ง่ายๆ
แต่พอเบ็คแฮมย้ายไป แมนฯ ยูไนเต็ดซื้อโรนัลโด้ที่เป็นดาวรุ่งเข้ามา ก็พบว่า นี่คือปีกจอมสับที่เล่นบอลแบบเห็นแก่ตัวมากๆ อีกคนหนึ่ง
ริโอ เฟอร์ดินานด์ เล่าเหตุการณ์ว่า "ผมจำได้ มีครั้งหนึ่งในสนามซ้อม เป็นเซสชั่นเปิดบอลให้เข้าทำ ปรากฏว่าคริสเตียโน่ที่เล่นปีกขวา โชว์สกิลแล้วสกิลอีก ไม่ยอมครอสเสียที จนทำให้รุดเดินเข้าไปหา แล้วพูดว่า 'แกทำอะไรของแก ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แกจะครอสบอลเข้ามา แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง รับบอลมา ครอสบอลซะ แล้วฉันจะยิงเอง แกปล่อยเทคนิคมากมายพวกนี้ ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะต้องวิ่งไปที่จุดนัดพบเสียที แกทำบ้าอะไรของแก' "
"จากนั้นมารุด ก็เล่นงานคริสเตียโน่ในสนามซ้อมอยู่เรื่อยๆ มีครั้งหนึ่ง เขาไล่เตะข้อเท้าของโรนัลโด้จนล้ม ผมคิดในใจว่า 'คริสเตียโน่ มันยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ปล่อยเขาไปเถอะน่า จะมาบุลลี่เด็กมันทำไม' "
ตอนที่โรนัลโด้ย้ายมาแมนฯ ยูไนเต็ดใหม่ๆ เขาคือเด็กหนุ่ม อายุแค่ 18 ปี ส่วนฟาน นิสเตลรอย ถือเป็นซีเนียร์ของทีมแล้ว อายุ 27 ปี ดังนั้นฟาน นิสเตลรอย จึงไม่พอใจ ที่รุ่นน้องคนนี้ เล่นบอลอย่างอิสระ โชว์ลีลาของตัวเอง โดยไม่ยอมจ่ายบอลให้เขาเสียที
ปีแรก (2003-04) โรนัลโด้ยังเรียนรู้อยู่ แต่พอในฤดูกาลต่อมา (2004-05) โรนัลโด้เริ่มเก่งขึ้น และได้รับโอกาสลงสนามบ่อยขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ค้นพบคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ฟาน นิสเตลรอย ไม่ได้ลง โรนัลโด้จะยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในฤดูกาล 2004-05 แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตฤดูกาลแบบลุ่มๆ ดอนๆ เสมอบ้าง ชนะบ้าง หลังจากจบเดือนพฤศจิกายน แข่งไป 15 นัดอยู่อันดับ 4 ของตาราง
ฟาน นิสเตลรอย ยิงได้แค่ 4 ลูก โดยเป็นจุดโทษไปแล้ว 3 เขายิงโอเพ่นเพลย์ได้แค่ 1 ลูกเท่านั้น
แต่พอเข้าสู่เดือนธันวาคมปี 2004 ฟาน นิสเตลรอยเจ็บยาวต้องพัก 3 เดือน เฟอร์กูสันจึงปรับแผนใหม่ ให้เวย์น รูนี่ย์ เป็นกองหน้าตัวเป้า แล้วให้โรนัลโด้มีอิสระเต็มที่ จะจ่ายก็ได้ จะยิงก็ได้
1
สุดท้าย ช่วงเวลา 3 เดือน ที่ไม่มีฟาน นิสเตลรอย แมนฯ ยูไนเต็ดเล่นได้ดีมาก เล่น 12 นัด ชนะ 10 เสมอ 2 โดยบุกไปชนะทั้ง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล ได้ถึงแอนฟิลด์ และ ไฮบิวรี่ ได้อีกด้วย
แต่พอฟาน นิสเตลรอยกลับมา ฟอร์มก็กลับไปสะดุดเหมือนเดิม ถึงตรงนี้เฟอร์กูสันรู้แล้วว่า ควรพัฒนาทีมในยุคต่อไปในทิศทางไหน
จุดเดือด ที่ทำให้ฟาน นิสเตลรอย กับโรนัลโด้ต้องแตกหักกันอย่างสมบูรณ์ เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2005 ระหว่างเซสชั่นการซ้อมที่แคร์ริงตัน โดยในช่วงนั้น คุณพ่อของโรนัลโด้เพิ่งเสียชีวิต ทำให้เขามีอาการซึมเศร้า บรรดาสตาฟฟ์โค้ช ก็จะแสดงความเห็นใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคาร์ลอส เคยรอซ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม ที่เป็นคนโปรตุเกสเหมือนกัน
ระหว่างการซ้อม ฟาน นิสเตลรอย ไปหวดใส่โรนัลโด้จนล้มกลิ้ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า "แล้วจะทำไมล่ะ จะไปฟ้องพ่อมึงหรือไง"
เจตนาของฟาน นิสเตลรอย เขาสื่อว่าพ่อคนนั้นคือเคยรอซ ที่เอาใจโรนัลโด้เหมือนพ่อกับลูก แต่ในจังหวะนั้น โรนัลโด้เข้าใจว่า ฟาน นิสเตลรอย พาดพิงถึงคุณพ่อแท้ๆ ที่เสียชีวิต ทำให้โรนัลโด้เสียใจมาก
เคยรอซ ด่าฟาน นิสเตลรอย ว่าแสดงความเคารพคนอื่นซะบ้าง แต่ฟาน นิสเตลรอย ก็สวนกลับมาว่าเขาไม่สนใจใครทั้งนั้น
ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้าย เซอร์อเล็กซ์ รับทราบเรื่อง จึงสั่งให้ฟาน นิสเตลรอย กลับบ้านทันที ไม่ต้องซ้อมวันนั้น
ความขัดแย้งกับโรนัลโด้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องที่หนักกว่า คือความขัดแย้งกับเซอร์ อเล็กซ์
ในเกมลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอวีแกน แอธเลติก เกมนี้ฟาน นิสเตลรอย ไม่ได้ลงสนามเป็นตัวจริง โดยเฟอร์กี้ ใช้ หลุยส์ ซาฮา ยืนเป็นหน้าเป้ากับเวย์ น รูนี่ย์
1
ก่อนเกม เฟอร์กี้ อธิบายฟาน นิสเตลรอย ว่าซาฮาเล่นเป็นตัวจริงมาตลอดในถ้วยนี้ ดังนั้นนัดชิงก็ควรส่งเขาลง ซึ่งฟาน นิสเตลรอยก็ยอมรับได้ เขาจึงยอมเป็นตัวสำรองไปก่อน
ในแมตช์นั้น แมนฯ ยูไนเต็ดขึ้นนำสบายๆ 4-0 ตั้งแต่นาทีที่ 61 ทำให้เซอร์ อเล็กซ์ ต้องการส่งตัวสำรองลงมาสัมผัสบรรยากาศทุกคน
ในซุ้มม้านั่งสำรอง มีนักเตะ 5 คน ประกอบด้วย ทิม ฮาวเวิร์ด (โกล์), คีแรน ริชาร์ดสัน, พาทริซ เอฟร่า, เนมานย่า วิดิช และ รุด ฟาน นิสเตลรอย
ปรากฎว่า เซอร์ อเล็กซ์ ส่งริชาร์ดสัน, เอฟร่า และ วิดิช ลงเล่น กลายเป็นฟาน นิสเตลรอย เป็นนักเตะเอาต์ฟิลด์คนเดียวที่ไม่ได้สัมผัสกับนัดชิงแม้แต่นาทีเดียว
วันนั้น ฟาน นิสเตลรอย โมโหมาก ว่าเกมขาดไปแล้ว 4-0 จะเอากองหลังอย่างเอฟร่า กับ วิดิช ลงไปเพื่ออะไร? เหมือนจงใจ ไม่อยากให้เขายิงประตู
ในซุ้มม้านั่งสำรองตอนนั้น ฟาน นิสเตลรอย น็อตหลุด เขาตะคอก และหันไปด่าเซอร์ อเล็กซ์ว่า "ไอ้เวรเอ๊ย"
3
เฟอร์กี้ตกใจมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าจะโดนพูดแบบนี้ใส่ คาร์ลอส เคยรอซ โมโหแทนเจ้านาย เตรียมมีเรื่องกับฟาน นิสเตลรอย ขณะที่นักเตะทุกคนที่อยู่ในซุ้มสำรองตอนนี้ ก็รีบช่วยเบรกสถานการณ์ ให้ฟาน นิสเตลรอยระวังคำพูดหน่อย
ช็อตนี้ คือฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้เฟอร์กูสัน ต้องขายฟาน นิสเตลรอยทิ้ง เขาไม่สามารถเก็บนักเตะที่ขาดความเคารพไว้กับทีมได้ แม้คุณจะเป็นยอดกองหน้าแค่ไหนก็ไม่สน
สุดท้าย ฟาน นิสเตลรอย จึงถูกขายให้เรอัล มาดริดในราคา 10.3 ล้านปอนด์เท่านั้น
ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2005-06 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับชาร์ลตัน ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตามธรรมเนียมของสโมสร ในนัดสุดท้าย คุณจะเล่นหรือไม่ได้เล่น ก็ต้องมาอยู่ในสนามให้ครบ เพื่อร่วมขอบคุณแฟนๆ ที่เข้ามาเชียร์
เกมนั้นเฟอร์กี้ ไม่ส่งฟาน นิสเตลรอยลงเล่น โดยใช้ หลุยส์ ซาฮา ยืนคู่กับจูเซ็ปเป้ รอสซี่ พอฟาน นิสเตลรอยเห็นว่า ตัวเองไม่มีชื่อทั้งตัวจริง และตัวสำรอง ก็ขับรถกลับบ้านหนีไปเลย เป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง
สุดท้ายฟาน นิสเตลรอย จึงอำลาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่ค่อยสวยนัก เป็นตอนจบที่ไม่ดีเลย ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นขวัญใจของแฟนๆ ซะขนาดนั้น
ฟาน นิสเตลรอยไปอยู่เรอัล มาดริด ก็ประสบความสำเร็จดี ได้แชมป์ลาลีกา 2 สมัย และดาวซัลโวลาลีกา 1 สมัย
อย่างไรก็ตาม เขามีแผลในใจเสมอ เพราะรู้สึกว่าการแยกทางกับแมนฯ ยูไนเต็ดไปแบบนั้น มันไม่ดีเลย และรู้สึกผิดมากๆ กับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันด้วย
1
สุดท้าย หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 4 ปี เดือนมกราคมปี 2010 ฟาน นิสเตลรอย ที่ตอนนั้นอยู่เรอัล มาดริด ตัดสินใจขอโทรไปคุยเฟอร์กี้ เพื่อขอโทษกับเรื่องทั้งหมด
ฟาน นิสเตลรอยเล่าว่า "ผมคิดเรื่องนี้มานานมาก และคุยกับภรรยาตลอด"
"ในแต่ละปี จะมีสัก 2-3 ครั้ง ที่ผมคิดถึงเรื่องราวตอนอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เคยทำกับเฟอร์กูสัน จนเราต้องลงเอยกันแบบนั้น ผมเลยคิดว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขมัน"
"ภรรยาของผมแนะนำว่า ให้ผมลองส่งข้อความไปก่อนสิ ว่าพอเป็นไปได้ไหม ที่เราจะคุยกัน ผมก็ทำตาม ผมส่งข้อความไปหาเฟอร์กูสัน แล้วบอกว่าเราพอจะมีเวลาคุยกันได้ไหม เขาตอบมาว่า 'โอเค โทรหาฉันตามเวลานี้นะ' ซึ่งผมก็โทรไปตามเวลานั้น พอเขารับสายก็พูดว่า 'โอเค มีอะไร ว่ามาได้เลย' "
"ผมพูดว่า อยากขอโทษกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด เขาก็รับฟัง แล้วตอบกลับมาว่า 'ดีมาก ฉันขอบคุณนายนะ ที่กล่าวคำขอโทษแบบนี้ อนาคตถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง ถือว่าทุกอย่างเคลียร์แล้ว' "
2
"ตอนเขาบอกว่าให้อภัยผมแล้ว ผมดีใจมากๆ จริงๆ ผมบอกเขาว่า ช่วงเวลา 5 ปีของผมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันสวยงามมากๆ และผมก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเขา มันน่าเสียใจที่เรื่องแย่ๆ เหล่านั้นเคยเกิดขึ้น"
3
"ถ้าผมได้เจอเฟอร์กูสันอีกครั้ง ผมจะกอดเขา แล้วจากนั้นความขัดแย้งทุกอย่างจะจบสิ้นลงอย่างเป็นทางการ"
สำหรับเรื่องคำขอโทษของฟาน นิสเตลรอยนั้น ในมุมของเฟอร์กี้เล่าว่า "ในคืนหนึ่งของเดือนมกราคมปี 2010 อยู่ๆ ก็มีคนส่งแมสเซจเข้ามาที่โทรศัพท์ของผม เป็นข้อความว่า 'ผมไม่รู้ว่าคุณจำผมได้ไหม แต่ผมอยากจะคุยกับคุณ' ลงชื่อว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย ผมคิดในใจว่าพระเจ้าช่วย เขาอำลาสโมสรไปแล้วตั้ง 4 ปี นี่มันเกิดอะไรขึ้น"
"พอคุยกัน เขาก็เริ่มด้วยเรื่องนี้ เรื่องนั้น แต่สุดท้ายก็กล่าวคำขอโทษออกมา"
"ผมชอบคนแบบนี้นะ คนที่กล้าขอโทษน่ะ ในยุคปัจจุบัน บางทีคนเราก็ลืมไปว่า ตัวเองทำผิดได้ และมีคำศัพท์ว่า 'ขอโทษ' อยู่ ดังนั้นมันเลยรู้สึกดี ที่ได้ยินคำพูดว่า 'ผมผิดไปแล้ว และขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น' "
3
"ในตอนที่เขาโทรมา มีข่าวว่าเขาจะย้ายทีม แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่เขาโทรมาหาผม แต่มันคงเป็นความรู้สึกผิดในใจที่เก็บสะสมไว้มานานหลายปี วันที่เขาโทรมาขอโทษ ก็ชัดเจนว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากๆ แล้ว"
2
หลังจากกล่าวคำขอโทษในวันนั้น ฟาน นิสเตลรอยย้ายไปเล่นกับฮัมบูร์ก และมาลาก้า ก่อนประกาศแขวนสตั๊ด
เส้นทางอาชีพต่อจากนั้น เขาไปสอบไลเซนส์โค้ช และได้โอกาสคุมทีมชุดใหญ่ครั้งแรก กับสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และสร้างผลงานยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ดัตช์คัพได้ทันที ในฤดูกาล 2022-23
ประสบการณ์ในสมัยอยู่แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถเอามาใช้ได้เยอะมากตอนเป็นโค้ช เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของผู้เล่นเป็นอย่างดี ว่าคิดอะไรอยู่
ฟาน นิสเตลรอย เล่าว่า "ตอนที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่เฟอร์กูสัน มันมีหลายความรู้สึกรวมกัน ผมอาจจะน้อยใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่จริงๆ นั่นมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมเลย"
"ตอนที่ผมเป็นโค้ช ถ้ามีผู้เล่นไม่พอใจแล้วกำลังจะระเบิดออกมา ผมจะเล่าเรื่องที่เคยทะเลาะกับเฟอร์กูสันให้เขาฟัง บอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง เมื่อผมใช้อารมณ์ครอบงำ ทำอะไรไม่คิด"
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันของฟาน นิสเตลรอยกับเฟอร์กี้นั้น ก็รื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองคนคุยกันดีๆ และถ่ายรูปร่วมกันเมื่อได้เจอกัน
นอกจากนั้น ฟาน นิสเตลรอย ก็เข้ามาอยู่ในวงจรของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้งด้วย ในปี 2017 เขาถูกเชิญมาลงแข่งขันฟุตบอลเลเจนด์ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
11 กรกฎาคม 2024 ฟาน นิสเตลรอย รับงานเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมปีศาจแดงในยุคเอริก เทน ฮาก แต่หลังจากเทน ฮากโดนไล่ออกไป เขาก็รับงานเป็นเฮดโค้ชชั่วคราว รอจนกว่ารูเบน อโมริน จะอำลาสปอร์ติ้ง ลิสบอน
4 เกม ของฟาน นิสเตลรอย กับทีมปีศาจแดง จบลงด้วยการไร้พ่าย
ชนะ เลสเตอร์ 5-2 (คาราบาวคัพ)
เสมอ เชลซี 1-1 (พรีเมียร์ลีก)
ชนะ พีเอโอเค 2-0 (ยูโรป้าลีก)
ชนะ เลสเตอร์ 3-0 (พรีเมียร์ลีก)
2
บรูโน่ เฟอร์นันเดส ลงเล่น 13 เกม ยุคเทน ฮาก ยิงได้ 0 ประตู แต่พอมายุคของฟาน นิสเตลรอย ลง 4 เกม ยิง 4 ลูก อยู่ๆ ก็เล่นฟุตบอลได้อย่างสดชื่นขึ้นมาเลย
1
บรรยากาศทั้งในและนอกสนามดีขึ้นหมด ทุกคนมีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฟาน นิสเตลรอย รับบทบาทเป็นบอสชั่วคราว
สิ่งที่ฟาน นิสเตลรอย ได้เรียนรู้ในสมัยเป็นนักเตะที่แมนฯ ยูไนเต็ด เขาเอาบางอย่างนั้น มาใช้สอนรุ่นน้องในทีมชุดปัจจุบันด้วย
ฟาน นิสเตลรอย กล่าวว่า "เฟอร์กูสันเคยพูดไว้ว่า 'ไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร' คุณต้องจำคำนี้ไว้ ในทุกๆ การตัดสินใจ ทุกๆ ทางเลือก"
2
"ผู้เล่นต้องรู้ทันที ว่าการคำนึงถึงสโมสรก่อน คือหัวใจสำคัญของทีมฟุตบอลทีมนี้ ดังนั้นคุณต้องให้ความสำคัญกับแฟนบอลที่เป็นรากฐานของทีม ขอบคุณพวกเขาเสมอหลังจบเกม ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้าย"
1
"ถ้าเจอแฟนๆ ไม่ว่าจะโรงแรม หรือที่ไหนๆ คุณต้องแจกลายเซ็นให้ และ ถ่ายรูปกับพวกเขาเสมอ"
1
"เฟอร์กูสัน สั่งเราในยุคนั้นว่านี่เป็นเรื่องสำคัญของทีมเรา และผมเคยมีประสบการณ์โดยตรง ดังนั้นเมื่อผมมาเป็นโค้ชแล้ว ผมก็จะกระตุ้นให้ผู้เล่นทำแบบนั้น"
"คุณว่าวัฒนธรรมของทีมฟุตบอลเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญหรือไม่? แน่นอนสิ ว่ามันสำคัญ"
สำหรับอนาคต ไม่รู้ว่าอโมริม จะต้องการใช้บริการฟาน นิสเตลรอยหรือไม่ บางทีเขาอาจจะต้องการโละสตาฟฟ์ยกชุด แล้วใช้ทีมงานตัวเอง ก็เป็นสิทธิ์ที่โค้ชใหม่สามารถทำได้ ก็ต้องมาดูกันต่อไป
ถ้าสุดท้ายฟาน นิสเตลรอย ไม่ได้ไปต่อจริงๆ ก็หวังว่าเขาจะไปเก็บเลเวลที่อื่นก่อน พัฒนาตัวเอง ให้เป็นผู้จัดการทีมที่เก่งกว่านี้
แล้วในอนาคต ถ้าโชคชะตามีจริง ใครจะรู้ เขาอาจได้กลับมาร่วมงานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดอีกครั้งก็เป็นได้นะ
1
#RUUUUUUD
15 บันทึก
56
20
15
56
20
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย