Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
11 พ.ย. เวลา 08:36 • กีฬา
กลางหาย ซ้ายล้น : สมดุลที่นักจัดการอย่าง "อันเช่" ยังแก้ให้ เรอัล มาดริด ไม่ได้ | Main Stand
ก่อนซีซั่น 2024-25 จะเริ่ม ใคร ๆ ก็มองว่า เรอัล มาดริด ที่คว้าสตาร์แถวหน้าของโลกอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ เข้ามาร่วมทีม จะเป็นทีมที่ไร้คู่ต่อกร
แต่เอาเข้าจริงตอนนี้ กลับดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลคำนั้น เพราะพวกเขาดูจะมีปัญหามากมายหลายเรื่องให้ต้องแก้ไข
น่าแปลกที่ทีมรวมนักเตะระดับท็อป แถมยังมีกุนซือที่เป็นนักบริหารจัดการคนชั้นหนึ่งอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ กลับยังหาสมดุลที่แท้จริงไม่เจอ และเมื่อยิ่งเล่น กลับดูเหมือนพวกเขาจะอ่อนแอลงกว่าในฤดูกาล 2023-24 ด้วยซ้ำ
ปัญหาต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวที่สื่อขีดเขียนสนุกมือ มีเรื่องอะไรบ้าง ติดตามบทวิเคราะห์ที่ Main Stand
สิ่งที่ อันเชล็อตติ ไม่เคยเป็นมาก่อน
คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของ เรอัล มาดริด ถือว่าเป็นตัวท็อปของวงการ เขาผ่านช่วงเวลาการคุมทีมมาหลายทศวรรษ แต่จุดเด่นของเขายังคงเหมือนเดิม นั่นคือการมองศักยภาพนักเตะอย่างทะลุปรุโปร่ง และจับนักเตะลงในแท็คติกที่เหมาะได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
เขาไม่เคยมีแผนการเล่นที่ตายตัว และพร้อมจะยืดหยุ่นแท็คติกให้เหมาะสมกับนักเตะที่เขามีในมือเสมอ นั่นทำให้เขายังคงเป็นกุนซือที่ไม่เคยตกยุค และเป็นโค้ชระดับขึ้นหิ้งตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาเจอในเวลานี้กับ เรอัล มาดริด เป็นอะไรที่ดูจะแปลกไปสักหน่อย เนื่องจาก เรอัล มาดริด มีผู้เล่นที่แข็งแกร่งมากบนหน้ากระดาษ แต่เมื่อลงสนาม กลับเล่นไม่เหมือนอย่างที่แฟน ๆ หรือแม้แต่ตัวเขาเองจินตนาการไว้เลย
"ความจริงทุกอย่างสะท้อนอออกมาจากผลงานในสนาม ผมยอมรับว่าเราต้องกังวลได้แล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเรากำลังขาดบางอย่างที่จะทำให้เราเป็นทีมที่ดี" อันเชล็อตติ กล่าวด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ หลังพาทีมแพ้ เอซี มิลาน คาบ้าน 1-3 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ไม่ใช่เกมนี้เท่านั้น แต่ภาพรวมในสนามของ เรอัล มาดริด ลดหย่อนไปจากซีซั่นที่ผ่านมาจริง ๆ และเรื่องนี้ อันเชล็อตติ ก็ไม่เคยกั๊ก เขาบอกว่าทีมของเขาไม่ควรบุกไปชนะ เรอัล โซเซียดาด ในเกม ลา ลีกาเกมที่ 5 และบอกว่า "เราไม่ควรชนะ ... โซเซียดาด ยิงชนคาน 3 ครั้ง และ มาดริด ยิงได้จากจุดโทษ 2 ลูก"
พวกเขาอาจจะชนะหลายเกมในซีซั่นนี้ แต่เกมในสนามนั้นแตกต่างออกไป ลูกทีมเขาเขาไม่เคยได้รับคำชมเต็มปากจาก อันเช่ ในซีซั่นนี้ เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขายังต้องออกแรงเหนื่อยมากกว่าเดิมกว่าจะคว้าชัยชนะแต่ละนัด ไหนเลยจะแพ้ บาร์เซโลน่า 0-4 ซึ่งในเกมนั้น อันเช่ ยอมเสียหน้าไม่ได้ จนต้องหล่นวาทะเด็ดด้วยการบอกว่า “หนล่าสุดที่เราแพ้ 4-0 ในบ้านต่อ บาร์เซโลนา เราคว้าแชมป์ลาลีกา และแชมเปี้ยนส์ ลีก"
คำพูดนั้นเป็นเพียงการตัดไม้ข่มนาม เพราะคล้อยหลังไม่นานนัก พวกเขาก็แพ้ เอซี มิลาน ดังที่กล่าวไป ...
ไม่เคยมีใครสงสัยเรื่องการจัดตัวของ อันเชล็อตติ มาก่อน ในช่วงที่เขากลับมาคุม เรอัล มาดริด รอบที่ 2 ตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 เป็นต้นมา เขาจับนักเตะหลายคนลงเล่นในหลากหลายตำแหน่งก่อนหน้านี้ แต่คุณภาพเกมของพวกเขาไม่แตกต่าง มาดริด ยังเป็นทีมที่ชนะในเกมที่ควรชนะเสมอ แตกต่างกันที่ในปีนี้ชัยชนะกลายเป็นเรื่องยากกว่าแต่ก่อน และทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันเรื่อง 11 ตัวจริงในทีมของเขา ว่าใครควรจะเล่นในตำแหน่งไหน ?
เอ็มบัปเป้ กับ วินิซิอุส จูเนียร์ ใครควรเล่นทางซ้าย, ใครควรได้เป็นกองกลางแทนที่ของ โทนี่ โครส ที่แขวนสตั๊ดไป และ จู๊ด เบลลิ่งแฮม ถูกเปลี่ยนตำแหน่งจนประตูและแอสซิสต์ลดลงไปอย่างน่าใจหาย ... มันชัดเจนว่า อันเช่ ยังจูนทีมชุดนี้ไม่ติด และหลัก ๆ แล้วมันคือเรื่องของการรักพี่เสียดายน้อง ซึ่งเป็นผลกระทบลูกโซ่มาถึงแท็คติกของเขาที่ดูหลวมขึ้น และไม่ไร้เทียมทานเหมือนเดิม
เรื่องนี้ อันเชล็อติ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก เขาพูดเองเป็นฉาก ๆ ว่าสิ่งที่ทีมของเขาขาดคือะไร เพียงแต่เป็นการทิ้งปริศนาไว้ให้คนอ่านหรือคนฟังวิเคราะห์ต่อว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร หรือเจาะจงไปที่ใครเป็นพิเศษหรือไม่ ?
สูญเสียซิกเนเจอร์
เรอัล มาดริด ในยุค อันเชล็อตติ เป็นทีมที่มีคุณภาพสูงมาโดยตลอด พวกเขาจะทำอะไรก็ตามได้อย่างที่ อันเช่ วางแผนมาให้ในก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นเกมที่บีบให้พวกเขาบุกลืมตาย พวกเขาทำได้ไม่มีปัญหา ส่วนเกมไหนที่เจอคู่แข่งคุณภาพเท่า ๆ กัน เรอัล มาดริด ยุค อันเช่ ก็กลายเป็นทีมตั้งรับสวนกลับที่ทำได้อย่างแม่น จนได้ผลการแข่งขันที่ต้องการทุกครั้งไป เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เกมรุกอาจจะยังคงอยู่ แต่เกมรับคือสิ่งที่หายไป ชนิดที่ว่า อันเช่ ยังตามหาสิ่งนั้นและเอากลับมาใส่ในทีมชุดปัจจุบันไม่ได้
“เราต้องเล่นเกมรับให้ดีขึ้น เพราะนั่นคือกุญแจสำคัญ เราต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ทีมมีความสมดุลและแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย มีรายละเอียดทางยุทธวิธีบางอย่างที่จะช่วยปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ได้" อันเชล็อตติ เคยว่าแบบนั้น
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้มันชวนให้นึกถึงการมาของ เอ็มบัปเป้ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเดิมทีในเกมระดับบิ๊กแมตช์ อันเชล็อตติ มักจะส่งตัวรุกธรรมชาติลงไปเล่นแค่ 2 คนเท่านั้น คนแรกที่ยืนหนึ่งคือ วินิซิอุส ส่วนอีกคนแล้วแต่แท็คติกที่เขาปรับให้เหมาะในแต่ละเกม
ทว่าปัจจุบันโควต้านักเตะเกมบุกของ เรอัล มาดริด เพิ่มขึ้นจากการมาของ เอ็มบัปเป้ ซึ่งถ้ามองกันแบบง่าย ๆ บ้าน ๆ ในเมื่อคุณถอดมดงานออกและคุณใส่อาวุธทำลายล้างอย่าง เอ็มบัปเป้ ลงไป คุณควรจะต้องได้เกมบุกที่น่ากลัวชนิดที่ว่าคุ้มค่าเสี่ยงกับการหย่อนประสิทธิภาพในเกมรับลง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเกมรับเสียสมดุลหนัก ส่วนเกมรุกก็ได้มาไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงนี้มากนัก
ทอม ฮินเดิล นักวิเคราะห์จาก GOAL พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า แม้ เอ็มบัปเป้ จะยิงได้ถึง 8 ประตูจาก 14 นัด แต่ในความรู้สึกของทุกคนยังคงมองว่าควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณภาพเกมโดยรวมของ เอ็มบัปเป้ ไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ เขาได้รับบทบาทเบอร์ 9 ของทีมบ่อยครั้ง และหลายหนเขามักจะยืนผิดที่ผิดทาง ไปทับตำแหน่งกับ วินิซิอุส ในทางซ้ายด้วย
และเหนือสิ่งอื่นใด คือตอนที่ เอ็มบัปเป้ ไม่มีบอล เขาเหมือนเป็นจุดอ่อนของทีมเพราะน้อยครั้ง เอ็มบัปเป้ จะเป็นคนวิ่งไล่บอลที่เสียไปเอามาคืนอย่างไม่ลดละ ซึ่งเป็นวิธีที่ อันเช่ ใช้มาตลอดในการคุมทีมรอบ 2 โดยเฉพาะเกมใหญ่ ๆ
เรื่องนี้เขาเองก็ยอมรับด้วยการบอกว่า "ผมไม่เคยบอกนะว่าลูกทีมของผมเป็นพวกขี้เกียจ แต่ความจริงคือเรายังขาดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิผล เราต้องยอมรับคำวิจารณ์และตระหนักถึงความเป็นจริงว่าเราทำได้ไม่ดีเลย"
หากเราถอดใจความจากที่ อันเชล็อตติ บอกก็คือ นักเตะทุกคนยังคงเชื่อฟังเขา และห้องแต่งตัวของทีมยังแข็งแรงมาก เพียงแต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยเจอ เพราะการจูนตำแหน่งให้สมดุลรุกรับให้กับ เรอัล มาดริด ชุดนี้ไม่ใช่ทำกันง่าย ๆ มันอาจจะเป็นงานยากที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของ เอ็มบัปเป้ และ วินิซิอุส กับตำแหน่งที่แท้จริงของ 2 คนนี้เท่านั้น ... มันเหมือนกับโดมิโน่ล้ม ที่ส่งผลต่อพื้นที่อื่น ๆ ในสนามด้วย
เรื่องตำแหน่งของ จู๊ด เบลลิงแฮม คือเรื่องต่อไปที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศหลายเจ้าให้ความเป็นห่วง
อันเชล็อตติ พยายามหาสมดุลให้เกมรับหลังการมาของ เอ็มบัปเป้ ด้วยการให้ จู๊ด เบลลิงแฮม ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นที่แล้วปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นใหม่ โดยให้เขาเล่นเกมรุกน้อยลง ยืนไม่สูงเหมือนเดิม เพื่อช่วยให้แดนกลางแน่นขึ้น กลายเป็นว่าการขยับ จู๊ด หนนี้ ทำให้จำนวนประตูของเขาหายไป เขายังยิงไม่ได้เลยสักลูก และบทบาทลูกหาบที่เขาได้รับ ทำหน้าที่วิ่งขึ้นลงระหว่างเกมรุกและเกมรับ ก็บั่นทอนสุขภาพร่างกายเขาไม่น้อย เพราะเขาคือคนที่ลงเล่นเยอะมากถึง 69 นัดในซีซั่นที่แล้ว จนเจ็บ ๆ หาย ๆ อยู่บ่อย ๆ
แม้ เบลลิงแฮม จะทำได้หลายอย่างในแผงแดนกลาง เขาแข็งแรงพอจะเล่นเกมรับได้ แต่อย่าลืมว่าเขาอายุแค่ 21 ปีเท่านั้น ด้วยช่วงวัยขนาดนี้ยังมีช่องสำหรับการเรียนรู้จากความผิดพลาดอีกมากในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง
เช่น บางครั้งเขาพยายามที่จะทำด้วยตัวเองมากเกินไป หรือการแสดงอารมณ์มากจนเกินไปเมื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจ ... ปกติแล้วหน้าที่ยิงประตูมันไม่ใช่หน้าที่หลักของกองกลางอย่างเขาหรอก เพียงแต่มันมีผลงานให้เปรียบเทียบได้ชัดเจน และมันเพิ่งผ่านมาไม่ถึง 1 ปีเลยด้วยซ้ำ ไม่แปลกที่เรื่องนี้จะโดนใครต่อใครยกขึ้นมาเป็นประเด็นถามว่า จะใช้ เบลลิงแฮม ได้เต็มประสิทธิภาพอย่างไร ในยามที่ข้างหน้ามี เอ็มบัปเป้ และ วินิซิอุส คอยทำหน้าที่ยิงประตูเป็นหลัก
อันเชล็อตติ จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาทำให้ เบลลิงแฮม มีส่วนร่วมในกรอบเขตโทษให้มากกว่านี้ และในขณะเดียวกัน ยังไม่เป็นการขัดขวางการแสดงพลังของ เอ็มบัปเป้ และ วินิซิอุส ด้วย ... เราไม่รู้หรอกว่าทางแก้คืออะไร แต่เชื่อว่ากุนซือที่ผ่านฟุตบอลมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ น่าจะเริ่มมองหางอะไรใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ไว้แล้ว เพียงแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น
และอีกหนึ่งเหตุผลที่ จู๊ด เบลลิงแฮม ต้องเปลี่ยนบทบาทมากขึ้น น่าจะรวมถึงการเลิกเล่นของ "หัวใจในแดนกลาง" อย่าง โครส ด้วย เพราะเมื่อมี โครส อยู่ในทีม มาดริด จะเป็นทีมที่สามารถเอาบอลขึ้นมาบุกได้อย่างต่อเนื่อง และเหล่าตัวรุกจะได้เล่นเกมถนัดแบบสนุกสนานเพราะบอลจากเท้าของ โครส นอกจากจะแม่นยำแล้ว เขายังรู้จักและเป็นปรมาจารย์ด้านการคุมจังหวะ จังหวะไหนควรช้า จังหวะไหนควรเร็ว จ่ายแล้วเพื่อนได้เปรียบ เรื่องพวกนี้เป็นสกิลติดตัวที่ โครส จะดึงมาใช้ตอนไหนก็ได้
และเมื่อเขาไม่ได้คอยบัญชาเกมกลางสนาม หน้าที่ดังกล่าวตกเป็น ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งจุดนี้ แค่คุณนึกภาพวิธีการเล่นของ ชูอาเมนี่ คุณก็จะเข้าใจทันที่ว่ามันคนละฟีล คนละสไตล์กับ โครส อย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่า ชูอาเมนี่ ไม่เก่งและไม่มีดี แต่จุดแข็งของเขาไม่ได้อยู่ที่การเป็นจอมทัพ แต่เขาเป็นเหมือนห้องเครื่องที่แข็งแรง แข็งแกร่ง และอึด พร้อมวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดทั้งเกม ดังนั้นการให้เขามาคุมเกมจึงมีความติดขัดและเคอะเขินแสดงออกมาเป็นระยะ ๆ
เรื่องนี้ อันเชล็อตติ ก็รู้และเป็นเหตุผลว่าทำไมในแดนกลางของซีซั่นนี้ เขาถึงต้องเอาทั้ง เบลลิงแฮม ถอยต่ำมาช่วยเพิ่มความแน่นอน และเอา เฟเดริโก วัลเวร์เด้ ที่ในปีนี้ถูกจับมาเล่นกองกลางบ่อยเป็นพิเศษ เพื่อมาช่วยอุดรอยความผิดพลาด ช่วยแก้ไขบอลที่เสียไปที่มีจำนวนมากขึ้นในปีนี้
แม้เข้า 1 ออก 1 แต่การเข้า 1 ออก 1 ของ มาดริด มันเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่มาก ๆ และยากที่จับหยิบลงไปวางทีเดียวให้มันลงตัวในทันที ตอนนี้ อันเช่ จึงอยู่ในกระบวนการพยายามทำให้มันเข้าที่เข้าทางมากที่สุด
ปัจจัยแทรกซ้อนที่ชื่อว่าอาการบาดเจ็บ
เรื่องอาการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ทุกทีมต้องเจอ และ เรอัล มาดริด ก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เพราะในซีซั่นที่แล้วพวกเขาก็เผชิญปัญหานี้มาตลอดซีซั่น โดยเฉพาะในเกมรับที่ตัวหลัก ๆ ทั้ง เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, แฟร์กล็อง เมนดี้ รวมไปถึง ธิโบต์ กูร์กตัวส์ เจ็บสลับกันตลอดซีซั่น บางคนเจ็บสั้น บางคนเจ็บยาว
แต่อย่างที่กล่าวไปในปีที่แล้ว เกมรุก และแดนกลางที่เอาอยู่ช่วยลดภาระเกมรับของ เรอัล มาดริด ได้มากโข นักเตะเกมรุกช่วยกันไล่ตั้งแต่แดนบน ขณะที่แดนกลางเสียบอลยาก ครองบอลเหนียว ทำให้พวกเขาซ่อนแผลของกองหลังได้อย่างสนิท
กลับกัน ในปีนี้ปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บยังคงอยู่ ดานี การ์บาฆาล เจ็บยาวเกือบรูดม่าน, อลาบา ยังไม่หายเจ็บ, มิลิเตา ก็กลายเป็นนักเตะกระดูกเปราะที่เจ็บอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อเอาปัญหานี้มาประกอบกับระบบเกมรุกที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ ทำให้การเล่นเกมรับตั้งแต่แดนบนที่เคยเป็นของดีในปีที่แล้วขาดหายไป ยิ่งเมื่อขาด โครส ที่เป็นคนที่ทำให้เกมนิ่ง มีจังหวะจะโคน และ ลูก้า โมดริช ก็แพ้สังขาร ไม่ไหวที่จะลง 11 ตัวจริงในระยะยาว ปัญหาดังกล่าวจึงส่งผลถึงเกมรับ เปิดแผลในปีที่แล้วแบบชัดเจน
กองหลังของมาดริดทำผิดพลาดส่วนตัวมากเกินไปในฤดูกาลนี้ โดยเสียประตูไปถึง 15 ลูกจาก 14 เกม หากคุณได้เห็นประตูที่ มาดริด เสียไปในเกมกับ บาร์เซโลน่า และ เอซี มิลาน รวมถึงลูกยิงยิบย่อยที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ คุณจะพบว่าพวกเขาเสียง่ายกว่าที่เคยเป็นมา
โดยรวมคือ ณ ตอนนี้ เรอัล มาดริด เป็นทีมที่สามารถพึ่งพาความสามารถส่วนตัวของนักเตะที่มีได้อย่างเต็มที่ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นแข้งระดับท็อปทั้งนั้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่ขาดไปคือความเป็นเกม รุกทั้งทีม รับทั้งทีมแบบสมดุลทั้งแดนบนแดนล่าง ซึ่งเป็นจุดแข็งของพวกเขามาโดยตลอด
มีคำกล่าวของ ไบรอัน คลัฟ กุนซือตำนานของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่บอกไว้ว่า "เรามีทีมที่แข็งแกร่งมากบนหน้ากระดาษ แต่น่าเสียดายที่ฟุตบอลคือเกมที่เล่นกันในสนาม" ประโยคดังกล่าวนี้บรรยายถึงสิ่งที่ มาดริด เป็นเวลานี้ได้ดีที่สุด
ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับคนแก้ปัญหาที่เป็นหน้าที่ของ อันเชล็อตติ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษของเขาจะถูกทดสอบครั้งสำคัญ หลายครั้งเขาแก้ไขได้ และเปลี่ยนความโกลาหลให้กลายเป็นเป็นความยอดเยี่ยมเพอร์เฟ็กต์ได้เสมอ ... ส่วนครั้งนี้จะแก้ได้หรือไม่ ยังเหลืออีก 3 ส่วน 4 ของซีซั่นให้เขาได้มีเวลาได้จัดการมัน
และอันที่จริง เวลาของเขาอาจจะไม่มากอย่างที่คิด เพราะที่ เรอัล มาดริด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะเคยทำอะไรไว้ สโมสรแห่งนี้ตัดสินที่ปัจจุบันตลอดมา เหมือนกับครั้งที่เขาโดนปลดเมื่อฤดูกาล 2014-15 ทั้ง ๆ ที่เพิ่งคว้าแชมป์ยุโรปมาหมาด ๆ คล้าย ๆ กับตอนนี้
แหล่งอ้างอิง
https://www.eurosport.com/football/champions-league/2024-2025/carlo-ancelotti-real-madrid-fallen-very-fast-kylian-mbappe_sto20051694/story.shtml
https://www.theguardian.com/football/2024/nov/06/fallen-so-fast-ancelotti-admits-real-madrid-struggles-but-has-faith-in-recovery
https://www.goal.com/en/lists/how-fix-real-madrid-six-problems-carlo-ancelotti-solve-european-champions-back-on-track/blt3caaef510b636813#cs3b45b1fcbc408e43
https://www.goal.com/en-us/lists/real-madrid-identify-kylian-mbappe-weakness-carlo-ancelotti-co-urge-blockbuster-signing-take-responsibility/blt9a4694469dfbc151
https://www.nytimes.com/athletic/5892527/2024/11/04/real-madrid-wrong-champions-league/
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
บันทึก
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย