สรุปสาเหตุ นร.ระยองนับพันป่วยอุจจาระร่วง พบ "น้ำ-น้ำแข็ง" ต้นตอช่วงงานกีฬาสี
จากเหตุการณ์นักเรียนจากโรงเรียน 2 แห่งใน จ.ระยอง ป่วยอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษรวมกันนับพันราย จนสาธารณสุขต้องเร่งดำเนินการสอบสวนโรคว่าเกิดจากอะไร ล่าสุดมีคำตอบแล้ว
1.ประมวลเหตุการณ์อุจจาระร่วง
กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลแกลง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 พบนักเรียนเข้ารับการรักษาด้วยอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาจเจียน ท้องเสีย มีไข้ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ จำนวนมาก จึงได้ลงพื้นที่สอบสวนโรคใน วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 สรุปข้อมูลเบื้องต้น 2 เหตุการณ์ ที่เชื่อมโยงกัน ดังนี้
โรงเรียนวัดพลงช้างเผือก เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา ที่มีนักเรียนมากกว่า 1 พันคน กำลังมีกิจกรรมกีฬาสี นักเรียนรายแรกเริ่มมีอาการวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จากนั้นทยอยป่วยเพิ่มขึ้น ไปรักษาที่โรงพยาบาลแกลง 75 ราย และกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน 71 ราย ปัจจุบันที่เหลือ 4 รายที่เหลือหายกลับบ้านแล้ว รวมมีผู้ป่วย 342 ราย
โรงเรียนแกลง (วิทยสถาวร) เป็นโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา มีนักเรียนทั้งหมด 2,762 คน พบมีอาการป่วยทั้งหมด 715 รายส่วนใหญ่ไม่รุนแรง อาการที่พบมากที่สุดคือ ปวดท้อง ร้อยละ 88 รองลงมาได้แก่ อาเจียน ร้อยละ 83 ปวดศีรษะ ร้อยละ 79 ถ่ายเหลว ร้อยละ 72 และ มีไข้ ร้อยละ 68 นักเรียนที่ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลแกลง 18 ราย แพทย์ให้กลับบ้านได้ทั้งหมดผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างอุจจาระจากนักเรียนป่วย 2 ราย พบเชื้อไวรัสโนโร1 ตัวอย่าง และไม่พบเชื้อก่อโรค 1 ตัวอย่าง
2.การตรวจหาเชื้อ
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนโรคดังกล่าวว่า ผู้ป่วยจากทั้ง 2 โรงเรียนรวมทั้งหมด 1,436 ราย เป็นนักเรียน 1,418 ราย จากทั้งหมด 4,559 คน คิดเป็นอัตราป่วย ร้อยละ 31.1 ครูและบุคลากร 18 ราย จากทั้งหมด 183 คน คิดเป็นอัตราป่วย ร้อยละ 9.8 สาเหตุเกิดจากติดเชื้อไวรัสโนโร ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคทางเดินอาหาร
จากการตรวจหาเชื้อพบว่า
- รายงานผู้ป่วย 1 ราย จากโรงเรียนประถมศึกษา ซึ่งไปตรวจที่ รพ.เอกชน เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พบเชื้อ Norovirus genogroups II
- จากชุดตรวจเร็วและจากการเก็บตัวอย่างอุจจาระของผู้ป่วย 4 ราย เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พบเชื้อก่อโรค 3 ชนิด ได้แก่ เชื้อ Norovirus GI/GII, Enteropathogenic E.coli (EPEC) ในตัวอย่างของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษา 1 ราย และเชื้อ Enteroaggretive E.coli (EAEC) ในตัวอย่างของผู้ปรุงและเตรียมอาหารโรงเรียนประถมศึกษา 1 ราย
- ผลตรวจอาเจียน 1 ตัวอย่างของนักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาอยู่ระหว่างรอ
- น้ำดื่ม น้ำใช้ และน้ำแข็ง จำนวน 6 ตัวอย่าง และอาหาร 2 ตัวอย่าง อยู่ระหว่างรอผลการตรวจของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
- การตรวจสอบการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย จากการเก็บตัวอย่างด้วยชุดทดสอบ SI-2 ในภาชนะทำครัว มือผู้ปรุงและเตรียมอาหาร ทั้ง 2 โรงเรียน จำนวน 13 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อนในตัวอย่างจากโรงเรียนมัธยมศึกษา 4 ตัวอย่าง ได้แก่ เขียงและมีด หัวก๊อกน้ำกด มือผู้ปรุงและเตรียมอาหาร ขณะที่การเก็บตัวอย่างน้ำด้วยชุดตรวจ อ.11 จากตู้กดน้ำดื่ม 6 ตัวอย่างในโรงเรียนประถมศึกษา พบการปนเปื้อน 3 ตัวอย่าง
3.ผลการสอบสวนโรค
นพ.โสภณกล่าวว่า ผลการสอบสวนโรคชี้ให้เห็นว่า “น้ำและน้ำแข็ง” ที่บริโภคในโรงเรียนในสัปดาห์กีฬาสีเป็นปัจจัยเสี่ยงของการป่วย เนื่องจากผลการสำรวจและการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ พบว่า
- ระบบประปาที่ใช้เป็นระบบประปาผิวดิน ตรวจคลอรีนอิสระคงเหลือได้ 0.09 ppm ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐาน
- โรงน้ำแข็ง ซึ่งมีใบอนุญาตถูกต้อง พบว่า ใช้น้ำดิบจากระบบประปาเทศบาลตำบลเมืองแกลง มีบ่อพักน้ำให้ตกตะกอน แล้วนำน้ำใสมาเติมคลอรีนแบบอัตโนมัติก่อนผ่านระบบกรอง แล้วส่งเข้าระบบผลิตน้ำแข็ง
- โรงโม่น้ำแข็ง จะนำน้ำแข็งซองมาโม่ที่บ้านเพื่อจำหน่าย ตรวจพบจุดเสี่ยงไม่ได้มาตรฐานคือ ถังใส่น้ำแข็งซองมีการแช่วัสดุอื่นในถังด้วย รถที่ขนน้ำแข็งใช้ผ้าพลาสติกปูพื้นกระบะเพื่อวางน้ำแข็ง และจะโม่เมื่อมีผู้มาซื้อโดยบรรจุใส่กระสอบอาหารสัตว์ที่ล้างแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
4.มาตรการควบคุมโรค
ภายหลังการสอบสวนโรคได้มีการออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา คือ
- เติมคลอรีนในถังพักน้ำดื่ม น้ำใช้ ทั้ง 2 โรงเรียน
- ประสานเทศบาลตำบลเมืองแกลงในการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบของโรงเรียน
- สั่งยุติการจำหน่ายน้ำแข็งจากโรงโม่น้ำแข็งและให้ทำการปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในส่วนของสถานที่ แนะนำสุขวิทยาส่วนบุคคลของคนงานโรงงานผลิตน้ำแข็ง และร้านค้ารายย่อยที่นำน้ำแข็งโม่ส่งให้กับโรงเรียน
- แนะนำโรงเรียนห้ามนำน้ำแข็งโม่มาใช้บริโภค
- ประสานโรงเรียนทุกแห่งเฝ้าระวังและเพิ่มความเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคที่เกิดจากอาหารและน้ำปนเปื้อน
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
