11 พ.ย. เวลา 09:07 • ความคิดเห็น
สถานีหลักสี่
คำว่า จิตแต่ละดวง เกิดมา ก็มาจากสถานที่ แตกต่างกันมาจากอบายภูมิบ้าง สัตว์นรกบ้าง คนเก่งตกนรกมากมายก่ายกอง หมดโทษ เห็นว่าพอจะแก้ไขได้ เค้าก็ให้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมา ..เพื่อสร้างกรรม ที่โลกเค้าปรนเปรอให้ เกิดมาในดินแดนนี้ เค้าก็ร่องรอย ของพระ..ให้ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ..ในคำว่าโลภโกรธหลง ขึ้นมา.
ที่มันก็อยู่ที่จิตแต่ละดวง จะใช้สติปัญญา คัดกรอง สามารถ เรียนรู้ได้ ลงมือปฏิบัติได้ ..คนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นเค้าก็อยู่ของเค้าเงียบ ไม่วุ่นว่าย เราก็เลยไม่ค่อยเห็นพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ออกมา วุ่นวาย เทียวสอนโปรดอย่างนั้นอย่างนี้..เราได้ยินได้ฟังมาว่าพระอรหัตต์ท่านอยู่ป่า ..ยากที่จะพบปะเจอะเจอ เพราะท่านก็มุ่งมั่น ชำระกายวาจาใจของท่าน ไม่กลับ ไม่หันกลับมาใช้เรื่องราวของโลกอีก ..
หากเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติจริงๆการได้ฟัง พระที่ท่าน ทำได้ ช่วยชี้แนะ วิธีที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ผ่านฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ อุปสรรคนั้น มันก็อยู่ในกายมนุษย์ทุกคน ..มัรไม่สามารถมองเห็นด้วยลูกนัยน์ตา ..มันจึงเรื่องราว ของคำว่า ที่ว่า รู้ได้เฉพาะ ..ตน นิสัยที่ชอบหงุดหงิด ชอบทำตามอารมณ์ มันก็ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีความตั้งใจ ..กระทำสร้างบุญกุศลขึ้นมา
เมื่อเราทำขึ้น ..แม้คนที่อยู่ใกล้ชิด เค้าก็มองไม่ให้ อ่านไม่ออก ในเรื่องราวของจิตใจ เราเคยนั่งคุย กับพระท่านกนึ่ง ท่านบอกว่า ฉันรู้หมดทั้งวัด ใครเป็นยังไง บัญชีกรรม ฉันเปิดดูได้ทุกโต๊ะแหละ ท่านพูดอย่างนี้ เราก็ไม่เข้าใจ จนเมื่อท่านใกล้ละสังขาร นั่นแหละ ถึงค่อยได้ เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ก็น่าเสียดาย ที่ได้เรียนรู้..จาดท่านมาน้อยนิด .เพราะข้าน้อยโง่เขลา ไม่มีปัญญาธรรม ..ฟังเท่าไหร่ จิตมันก็รับรู้ไม่ได้ กรรมเค้าปิดหมด ร่องรอยคำสอนพระพุทธเจ้า มีคนหัวดีเรียนได้ทุกคน แต่ก็น้อยคนที่จะประพฤติปฏบัติธรรมได้
พระธรรมคำสอนขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่น โลกวิญญาณ ทวยเทพ คนธรรพ์ ท่านก็ต้องมาศึกษา อยากฟังธรรม จากพระ..ที่ท่านประพฤติปฏิบัติธรรมได้ ..เค้าฟังไป เก็บสะสมไว้ที่ธาตุทั้งสี่ เมื่อเกิดมามีกายพ่อแม่เป็นมนุษย์ เค้าปฏิบัติสร้างบุญกุศลต่อไปได้อีก มันจึงมีเรื่องราวคนที่สร้างบุญกุศล กับคนที่ไม่สร้างบุญกุศล เมื่อไม่ลงมือปฏิบัติขึ้นมา ..มันก็ย่อมไม่รู้
แม้แต่ลงมือปฏิบัติก็ยังมีเรื่อง อารมณ์นำพาชักนำ อุปโลกน์ให่หลงทิศทาง ยิ่งไม่ใช้เหตุผล ใคร่ครวญให้ดี ว่าโลกพาจิตไปทางไหน ธรรมนำพาจิตไปทางไหน .พอมาถึงตอนเราก็มองไปนึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ท่านก็ช่วย ทำนุบำรุง เผยแผ่ พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้มาพบเจอ ร่องรอยศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กาลเวลามันเปลี่ยน กายมนุษย์เค้าให้อาศัยเพียงแค่ประมาณแปดสิบปีตายแล้ว มันก็มีจิตมากมาย มาเกิดอาศัยกายมนุษย์ เกิดมากินกับนอนรอวันตาย เหมือนๆกันทุกหมู่เหล่า หรือว่าไม่จริง ..ตายแล้วไปไหนนี่ มันน่าสนใจ กว่าตอนเป็นมนุษย์เสียอีก .เค้าไปไหนกัน ไปแล้วหายลับไปจากโลก เป็นพ่อแม่ เป็นญาติพี่น้อง ก็พลัดพรากจากกันไป .ไม่รู้ว่าไปไหน จะไปมีพ่อแม่เป็นอะไร ..
สิ่งที่น่ากลัว ก็เรื่องธาตุทั้งสี่ ที่ติดตามไปกับจิต..นำจิตไปประกอบ ในสถานที่ต่างๆ สิ่งที่เรายาดจะเข้าไปเรียนรู้จัก จิตที่มันมุดดำดิน ..อยู่กับธาตุทั้งสี่ของจิต มันมีอะไรบ้าง ..มันดำสนิทมืดตื้อไปหมด ไม่มีแสงสว่าง ช่วยให่จิตได้มองเห็น สิ่งตัวเองคือ จิตของตัวเอง มันเป็นเช่นไร จึงยากที่จิตนั่น จะนำแสงสว่างของธรรม ส่องเข้าไปถึงจิต .จิตก็ดำสนิทอยู่อย่างนั้นไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ..
เมื่อเกิดมาอาศัยเป็นมนุษย์.. .เค้าจึงมีคำว่า โมฆะบุรุษโมฆะสตรี .เสียชาติเกิดมีกายเป็นมนุษย์ไปหนึ่งชาติ ..จิตออกจากกาย ก็ไม่มีพระเจ้าองค์ไหน จะช่วยได้ ..ใมีแต่กรรมที่เก็บไปกับธาตุทั้งสี่ ..ไปประกอบให้ ..ตามนิสัยกายวาจาใจ ที่ชอบใช้อารมณ์ ..ตั้งแต่เกิดมาจนตาย ก็หยุดพักอารมณ์นึกคิดต่างๆไม่ได้เลย แม้เสี่ยววินาที
มีพระท่านถาม พญามารว่า เปิดหนทางให้มนุษย์เข้ามาศึกษาธรรมได้มั้ย ท่านพญามารบอกว่า สมองมนุษย์สมัยนี้ เค้าทำไม่ได้ ..แล้วก็บอกว่า ง่ายนิดเดียว..จะเข้าไปถึงธรรม ก็อย่านึกถึงข้าพเจ้าเลย ..ข้าพเจ้านั่นมีหน้าที่ เมื่อนึกถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะ ..ส่งบรรณาการให้ ปรนเปรอให้ ..ข้าพเจ้านั่น เกรงกลัวในอำนาจพญามาร ที่ข้าพเจ้าหลงใหลมาทุกชาติ ทั้งธิดามาร ..นางตัณหา นางอรดี นางราคี ..ข้าพเจ้าหนีจากบ่วงมารไม่ได้เลย
โฆษณา