12 พ.ย. เวลา 03:14 • ความคิดเห็น
เราไม่รู้ว่า ผู้ที่เรานับถือ มีมายเช็ทอย่างไร มันเหมือนเรื่องที่ว่า จิตที่อยู่ต่ำๆ มองเห็นจิตที่อยู่สูงๆ ไม่ได้ ..ที่พูดนี้ หมายถึง..จิตน่ะ..ตัวเราเองยังอ่านตัวเองไม่ออก ..จิตของผู้ที่มีจิตใจที่สูง ..เราไม่รู้หรอกว่า จิตท่านเป็นอย่างไร การที่ได้เจอะเจอท่านครั้งแรก ท่านบอกว่า มาเรียนน่ะ ในธรรมโลกุตระ ..แล้วจะสนุก
แล้วท่านก็ชี้ มาที่หน้าอก ที่เรานั่งห่างออกไปสี่ห้าเมตร ท่านบอกว่า ที่หน้าอก มีเครื่องหมายกันมาทุกคน .พอท่านชี้มา ..มันเหมือน มีไม้เสียบเข้าไปที่หน้าอก ท่านยกมือโบกไปมา ก็เหมือนลมพัดวูบวาบ ตามมือท่าน..เราก็นึกไปถึงเรื่องกำลังภายใน พลังลมปราณทำนองนี้ นี่มันระดับปรมาจารย์เลย เพราะเราก็ชอบฝึกเรื่องลมปราณมา จากนั้น .ก็มีผู้หญิง มากราบท่าน ..เราก็นึกในใจว่า หญิงคนนี้ กราบพระสวยจัง ..เพียงคิดในใจ ท่านก็พูดว่า อย่างนี้เค้าเรียกว่า กราบด้วยจิต ..
พอไปหาท่านบ่อยขึ้น บางที่ท่านก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้ฟัง เป็นทำนองคล้ายนิทาน ..แต่เป็นเรื่เงที่เราสามารถ นำมาใคร่ครวญ พิจารณา เหตุผล ที่นำไปคลี่คลาย ผ่านอุปสรรค ในการฝึกหัดที่เจอะเจอ ..บางเรื่องท่านก็ค่อยสอน ..ให้เรามีสติสัมปชัญญะ ที่ละเอียดละออมากขึ้น ท่านไปได้สอน บอกให้ทีเดียว ท่านทำให้ดู .พูดบอก. ให้หัดพูด หัดการกราบพระ หัดการนำจิตของตัวเองมาสร้างบุญกุศล
..ท่านก็สอนให้เหมือนสอนเด็กน้อย จะลุกขยับเขยื้อน จากนอนแบเบาะ นั่นเป็นสิ่งที่เราถือว่า เป็นผู้ที่นำพา จูงจิตเราเข้าไปพระ .ด้วยการฝึกหัดปฏิบัติธรรม แล้วก็ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่เราไม่รู้ ให้จิตเราได้สัมผัสรับรู้ได้ นั่นคือ จิตของพระ ที่เราเคารพนับถือ
พอถามว่า ท่านมีมายเช็ทอย่างไรนั่นเราไม่รู้เลย เพราะปกติท่านนิ่ง อยู่เฉยไม่วุ่นวาย ร่างกายท่าน ก็มีปัญหา .กระดูกสันหลัง ท่านเคยบอก ชี้ให้เราดู คนที่นอนในเปล ตัวสั่นตลอดเวลา แล้วพูดว่า นี่ถ้าฉันไม่บวช ฉันก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นแบบเค้า เพราะท่านก็เป็นพรานมาก่อน ฆ่าสัตว์มามากก่ายกอง
ท่านบอกว่า จิตฉันมันเฉย ..เจ็บปวดอย่างไรก็เฉย ท่านไปผ่าตัด ..หมอวางยาสลบ ท่านก็ออกมาเล่า ว่าพูดคุยกันอย่างไร คราวหนึ่ง จะส่องกล้อง ไปคีบ นิ่งที่ถุงน้ำดี ท่านบอกว่า ยาสลบข่มจิตฉันไม่ได้หรอก ..หมอเค้าก็ทำไป ..ท่านบอกว่า ฉันไม่กล้าลืมตา กลัวหมอตกใจ .
.เคยคุยกัน เรื่องเจ้ากรรมนายเวร มีคนมาปฏิบัติ เจอภาพวัวที่ไปช่วยจับ ให้เค้่าเขือด วัวตัวนั้น ..ร้อง..แล้วก็เอาหัวมาซุกที่หน้าตัก ท่านก็บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรของฉัน มายืนเรียงคิว ต่อแถว ไปยาวเหยืยดขึ้นไปบนเขาเลย พอตอนหลัง เราจึงค่อยรู้จักว่า นั่นเป็นจิตของผู้ที่มีบารมีจะตัดขาดจากโลก เค้าเลยรีบมาชำระสะสาง หนี้เวรกรรม เคลียร์หนี้สินกรรมที่ติดค้าง เพราะว่า จิตนั้นใกล้ หลุดพ้นยุติการเกิด
ท่านบอกเรา ว่าข้างบนจะให้ฉันกลับแล้ว เราก็รีบกราบ อาราธนาท่าน จนมาครั้งที่สาม .เราก็ขออาราธนาอีก ..บอกท่านว่า หลวงตาไปแล้ว ก็มีใครสอนผมได้ ..ท่านก็บอกว่า ..องค์ที่จะให้อยู่หรือไป อยู่ที่องค์ปู่ท้าวสักกะเทวราบ ที่ท่านเป็นมัคคทายกใหญ่ เป็นเหมือนเลขา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พอเราไปขอท่าน ..ท่านก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง แล้วก็บอกว่า มันเลยเส้นที่สามแล้ว ทวยเทพท่านเตรียมงาน ต้อนรับกลวงตากลับแล้ว แล้วก็บอกว่า นี่ทวยเทพ เค้าก็ด้วยมากมาย เห็นมั้ย เราก็ยอกท่านว่า ไม่เห็น ..เห็นแต่สีเขียวอ่อน เต็มไปหมด . จากนั่น หลวงตาก็ล่ะ สังขาร ..คืนที่ท่านละสังขาร เราสวดมนต์ ก็เห็นภาพหลวงตา มายืนข้างหน้า .. รุ่งขึ้น ก็มีคนโทรมาบอกว่า หลวงตาท่านล่ะ สังขารไปแล้ว ..ทุกวันนี้ แม้ท่านละสังขาร ท่านก็ยังห่วงใย ช่วยส่งเสริมในการฝึกหัดปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .
หมายเหตุ ที่เล่านี้ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ในการเคารพนับถือ ..ก่อนที่ท่านละสังขาร ประมาณหนึ่งเดือน ท่านเรียกมาคุย
..คุยบอกว่า ฉันบอกให้ก็ได้ว่า ฉันเป็นใคร ฉันเป็นพระอเสขะ จะเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องทำต่อไปอีก ..ต้องเข้าป่า เหมือนพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทิ้งเวียงวัง เข้าป่าด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ไปชำระสะสาง กรรมที่อยู่กับธาตุทั้งสี่ ดินฟ้าอากาศ ..ให้กายบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ เป็นแก้วเจียระไนหมดจด ฝุ่นละอองธุลี ก็จับไม่ติด .เป็นแก้วบริสุทธิ์ แก้วรัตนะ..ก่อนเข้าพระนิพพาน..ยุติการเกิดทั้งหมด ..กายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม
โฆษณา