12 พ.ย. เวลา 09:58 • ข่าวรอบโลก
สหรัฐอเมริกา

การขึ้นสู่บัลลังก์รอบ 2 ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

สร้างแรงสะเทือนทั่วโลก
ด้านสภาพภูมิอากาศให้เลวร้ายลง
เมื่อ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ผู้ซึ่งเคยประกาศจะฉีกข้อตกลงปารีส ที่นานาชาติร่วมกันลงนามลดโลกร้อน เขายังประกาศจะฟื้นการขุดเจาะฟอสซิล กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ที่อาจเดินสู่จุดจบของการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เมื่อมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก และอันดับ 2 ของผู้ปล่อยมลพิษโลก หันหลังให้กับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
ความวิตกกังวลที่กำลังก่อตัวขึ้นในหมู่บรรดานักการทูตที่มารวมตัวกันที่กรุงบากู เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจาน ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (11พ.ย.2567) เพื่อร่วมการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties - COP) ครั้งที่ 29 หรือ COP29
และด้วยเหตุผลที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง โดยเขาได้ให้คำมั่นว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งผูกมัดประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกือบทั้งหมดให้ลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมาก เพื่อร่วมกับบรรลุเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 อาศาเซลเซียส ในปี 2573 หรือในอีก 5 ปีจากนี้
ในทางกลับกัน ทรัมป์ยังเตรียมที่จะฟื้นวาระ 'เจาะ ๆ' หรือที่เรียกว่า "drill baby, drilling" ของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากจุดเขาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอเมริกาให้มากขึ้น
การกลับลำนโยบายสภาพภูมิอากาสของทรัมป์ ส่งผลเสียต่อโลก
จอห์น โพเดสตา ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงานสะอาดของทำเนียบขาว ซึ่งเป็นผู้นำคณะผู้แทนสหรัฐฯ ในการประชุม COP29 กล่าวว่า เรายังมีงานอีกมากมายที่ต้องทำ และผมคิดว่าเรามีเวลาประมาณ 72 วันที่จะทำให้เสร็จ
ทั้งนี้ การกลับลำในนโยบายด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ อาจส่งผลเสียหายต่อโลก เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลียนแบบ เมื่ออเมริกาดำเนินการบางอย่างบนเวทีโลก อย่างน้อยบางประเทศก็มีแนวโน้มที่จะทำตาม
โอลิ บราวน์ นักวิจัยร่วมจาก Chatham House ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในลอนดอนกล่าวว่า ปารีสเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่คุณต้องมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและผู้ปล่อยมลพิษจำนวนมากทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงจะสามารถจัดการกับความท้าทายนี้ได้
“การที่สหรัฐฯซึ่งไม่ผูกพันตามข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศใดๆ ถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะสหรัฐฯเป็นผู้ก่อมลพิษคาร์บอนทำให้โลกร้อนมากเป็นอันดับสองของโลก และยังผลิตน้ำมันมากกว่าประเทศอื่นๆ"
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีอำนาจมากกว่าประเทศอื่นในการระดมทุนเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่เมื่อนโยบายทรัมป์ บอกว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ จึงไม่น่าจะใจป้ำให้เงินช่วยเหลือและเงินกู้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวของประเทศอื่นๆ มากไปกว่านี้
นักวิจัยรายนี้ ยังระบุว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้การเจรจาล้มเหลวแล้ว เป้าหมายหลักคือการตกลงที่จะโอนเงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีจากประเทศร่ำรวยและสถาบันต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสร้างระบบพลังงานสะอาด และปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศเลวร้ายที่เลวร้ายลง เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ และไฟป่า
ติดตามอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์
โฆษณา