Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าเมาเมาแมน
•
ติดตาม
13 พ.ย. เวลา 09:45 • ข่าวรอบโลก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของยุคทรัมป์ คือ โลกร้อน
หลายคนมองการมาของทรัมป์เรื่องสงคราม
การค้า การเมือง เป็นหลัก ว่าจะให้ผลทางใดทางหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นเหล่านั้น
มันยังมีส่วนที่เป็นผลประโยชน์ร่วมของสหรัฐ
กับชาติอื่นๆ ที่จะดึงทรัมป์ไว้ ไม่ให้บ้าจนเกินไปได้
เช่น การจะไม่ช่วยนาโต้ มันอาจทำให้สหรัฐเสียมากกว่าได้
เมื่อยุโรปหันไปผลิตอาวุธเอง และลดการนำเข้าจากสหรัฐ
ซึ่งแน่นอนว่าคนในอุตสาหกรรมนี้ของสหรัฐ ย่อมต้องขัดขวาง
หรือแม้แต่การขึ้นภาษีกับจีนที่เวอร์วังเกินไป
มันก็ไม่ใช่ผลดีด้านเดียวของสหรัฐ เพราะมันอาจไปดัน
เงินเฟ้อสหรัฐเองให้กลับมาสูงขึ้นได้มาก เมื่อสินค้าปัจจัย
การผลิตมันมีราคาสูงขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกประเด็นที่เรากลัว หรือเราคิด
มันอาจไม่ได้มีผลทางปฏิบัติมากอย่างที่กลัวกัน
ผมเห็นด้วยกับนักวิเคราะห์ส่วนมาก
ที่เชื่อว่าทรัมป์จะสามารถขับเคลื่อนนโยบาย
ตามที่พูดไว้ ได้ไม่เกิน 30% แม้จะมีเสียงในสภาฯ
มากก็ตาม
เพราะอย่างที่รู้กัน สส. สว. ในอเมริกานั้น
ไม่ใช่ว่าพรรคสั่งได้ แต่พวกเขามีจุดยืน
และเหมือนตัวแทนกลุ่มทุน กลุ่มความคิดซะมากกว่า
แต่ประเด็นที่ทรัมป์จะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเรา
ทุกคนบนโลก ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรูของสหรัฐ
…ก็คือความร่วมมือในการลดปัญหาโลกร้อน
จะถูกทิ้งลงถังขยะอีกครั้ง…
เป็นที่รู้กันดี ว่าทรัมป์นั้นไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน
และยังมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับกลุ่มผู้ผลิตพลังงาน
แบบดั้งเดิม(ฟอสซิล)อย่างเหนียวแน่น
…ซึ่งรวมถึงบริษัทพลังงานต่างชาติอย่างรัสเซียด้วย…
มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ทรัมป์จะพยายามบูม
พลังงานฟอสซิลอีกครั้ง ทั้งในและนอกประเทศ
เพราะส่วนตัวเขาเองเชื่อว่า อุตสาหกรรมพลังงานนี่แหละ
จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐได้มากที่สุด
และหลายพื้นที่ฐานเสียงของเขา ก็เป็นแหล่งอุตสาหกรรมนี้
และดูจากตัวเต็ง ที่จะเข้ามารับงานควบคุม
เรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็น่าจะชัดเจน ว่ามาเพื่อปลดล็อก
ข้อห้ามต่างๆ ที่ไบเดนทำไว้ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
การสมประโยชน์กันของผู้เล่นในอุตสาหกรรมพลังงาน
แบบดั้งเดิม ซึ่งกำลังมีลมหายใจรวยริน ทั้งในและนอก
สหรัฐ น่าจะได้รับการปลุกให้ฟื้นคืนชีพเร็วๆนี้….
ถ้าทรัมป์บูมน้ำมัน โดยอ้างว่าเพื่อสกัด EV จีน
มันก็สมเหตุผลนั่นแหละ สำหรับสหรัฐ
1
คนอเมริกันเอง ก็อยากให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันภายใน
ซึ่งยังมี GAP ที่จะทำได้อีกมหาศาล เพื่อให้น้ำมันถูก
ทรัมป์จะอาศัยจุดนี้ เพื่อบูมน้ำมัน แก้ราคาพลังงาน
ที่เป็นต้นเหตุของเงินเฟ้อ เซฟอุตสาหกรรม เพิ่มการจ้างงาน
ปัญหาคือ ถ้าสหรัฐบูมน้ำมัน แล้วราคาเชื้อเพลิงต่ำลง
ความน่าสนใจต่อการใช้อีวี และพลังงานทเแทนอื่น
มันก็จะลดลงตามไปด้วย
และไม่ใช่แค่ในสหรัฐ แต่หมายถึงทั่วโลก
มันอาจทำให้การใช้พลังงานทางเลือก
มาถึงจุดที่ไม่คุ้มทุนทางเศรษฐกิจ และไม่อาจแข่งขันได้
มันอาจทำให้ทั่วโลก ต้องกลับมาใช้น้ำมันมากขึ้นอีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เสียเปรียบกันในการผลิต
และผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ก็อาจต้องหยุด
วิจัยพัฒนาพลังงานทดแทน หรือแขวนไว้ก่อนเช่นกัน
…ซึ่งนั่น จะทำให้ภาวะโลกร้อนมีปัญหามากขึ้นทั่วโลก…
ถ้ามองในบริบทของอเมริกาชาติเดียว
การกลับมาบูมอุตสาหกรรมน้ำมันนั้น
มันเป็นเรื่องดีของพวกเขาจริงๆ ในทุกแง่
ทั้งแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน
และเซฟอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใหญ่มาก
ของพวกเขาเอง
มันคงไม่มีคนอเมริกันคนไหนไปขวางทรัมป์
ในประเด็นนี้แน่ๆ ขออะไรสภาก็คงผ่านฉลุย
แต่เพราะสหรัฐเป็นประเทศใหญ่ และปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ต่างๆมากที่สุดในโลก นโยบายเหล่านี้ จึงดูเหมือนไม่รับผิดชอบ
อะไรเลยต่อชาวโลกส่วนที่เหลือ
จริงอยู่ ว่าทุกวันนี้ EV จากจีน จะมีราคาถูกลงมาก
จนจูงใจให้คนใช้มากขึ้น
แต่เราต้องไม่ลืมว่า EV จีน ยังขาดความนิ่งของเทคโนโลยี
มันเหมือนยังไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าที่จริงแล้ว มันคืออะไร
ความนิ่งในที่นี้ ไม่ใช่ประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
ส่วนนี้ไม่มีปัญหา
แต่ EV จีนนั้น ก็เหมือนโทรศัพท์มือถือของพวกเขา
มันมีการเปลี่ยนรุ่น เปลี่ยนสเปกบ่อยจนเกินไป
จนคนใช้นั้นตามไม่ทัน และเกิดการเสื่อมค่าของสินทรัพย์
ได้ง่าย ซึ่งนี่ไม่เป็นผลดีกับภาคธุรกิจ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อ EV วันนี้ มีสเปกว่าวิ่งได้ 400 กิโล
ต่อหนึ่งรอบการชาร์จ
แต่มาอีกเดือน ผู้ผลิตจีนก็มาอีกแล้ว ปล่อยตัว 500 กิโลเมตรออกมา จนทำให้ตัว 400 กิโลเมตรตกรุ่น เสื่อมมูลค่า
มันอาจจริง ที่รถยังใช้งานได้ดี
แต่ในแง่ความเป็นสินทรัพย์ เท่ากับมันเสื่อมลง
อย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ
แน่นอน ไม่มีภาคธุรกิจที่ไหนชอบสิ่งนี้
มันอาจไม่มีปัญหากับการใช้ตามบ้าน
แต่ลองคิดสิ ว่าถ้าคุณทำบริษัทรถเช่า หรือแท็กซี่
มันจะเป็นอย่างไร ….
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รถบรรทุก ซึ่งสร้างมลภาวะ
มากที่สุดเลย มันยิ่งไปกันใหญ่ และคงไม่มีองค์กรใด
ทั้งรัฐและเอกชน รับความเสี่ยงแบบนี้ได้
จนสุดท้ายก็ต้องกลับมาหารถน้ำมัน ซึ่งมีความเสถียร
ของเทคโนโลยีและราคามากกว่ากันหมด
…รถในภาคอุตสาหกรรมต่างๆนั้น มีมากเท่าๆกับรถยนต์
ตามบ้านเรือน มันมีอัตราส่วนสูงกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ในทั่วโลก…
…ความพยายามเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า ในการขนส่งมวลชน
ก็อาจยิ่งเกิดปัญหา ถ้าราคาน้ำมันนั้นต่ำลงมากๆ แบบที่ทรัมป์
และชาวอเมริกันต้องการ…
สำคัญที่สุด คือต้องไม่ลืมว่า การเปลี่ยนแปลงระบบ
พลังงานในทุกประเทศนั้น มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
เราจะมองแต่การที่ระดับบุคคลเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าไม่ได้
เพราะในความเป็นจริงแล้ว รัฐมีความจำเป็น ต้องสร้างระบบ
ขึ้นมารองรับ การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
ไม่ต้องดูใครครับ เอาไทยนี่แหละ
เราต้องเผื่อกำลังการผลิตไฟฟ้าไว้มากกว่าความจำเป็นเยอะ
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง จนทำให้ค่าไฟฟ้าครัวเรือน
มันสูงเกินความจริงไปมาก
…นึกดู ไทยยังขนาดนี้ ชาติใหญ่ๆนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ถ้าน้ำมันมันถูก ก็คงไม่มีใครอยากจ่ายแน่ๆ ….
ปัจจุบันปัญหาโลกร้อนนั้น จับต้องได้ เป็นรูปธรรม
และส่งผลกระทบไปทั่วโลก
หิมะตกที่ซาอุ เป็นอะไรที่บอกชัดว่า เรามาถึงจุดวิกฤตแล้ว
การที่ได้คนที่ไม่เชื่อโลกร้อน มาเป็นแกนนำของโลก
ร่วมกับอีกคน ที่อยากให้โลกร้อน น้ำแข็งละลาย
เพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือขั้วโลกเหนือของตัวเองอย่างปูติน
มันจะสร้างความบรรลัยให้ทั่วโลกขนาดไหน
โลกร้อน นำมาซึ่งภัยพิบัติขนาดใหญ่ต่างๆ
ซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้นทุกๆปี เราก็เห็นๆกันอยู่
ผลของความเสียหายของมัน มากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ใดๆ
ที่มนุษย์มีจะทำได้ พลังของธรรมชาติ มันเหนือจินตนาการ
หากโลกร้อนกว่านี้ ทุกชาติ ทุกคนบนโลก
ก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่มากขึ้น และรุนแรงขึ้น
เสียงบประมาณมากขึ้นในการป้องกัน และเยียวยา
ฟื้นฟูความเสียหาย ทุกปี ทุกปี
ยังมีความมั่งคงทางอาหารที่จะต่ำลงอีก
ความแห้งแล้งที่มากขึ้นย่อมนำมาสู่ราคาอาหารที่สูงขึ้น
ซึ่งประเทศยากจน อาจต้องมีคนอดตาย
มองมุมไป มุมกลับ มันไม่คุ้มค่าเลย กับสิ่งที่ได้
จากพลังงานรูปแบบเดิมในราคาถูก
ในแง่โลกร้อน ผมเชื่อว่าทรัมป์และปูติน มีจุดยืนร่วมกัน
…คือให้แม่งร้อนๆไปเหอะ ได้ทั้งคู่ วินๆ…
2
ใช่ มันอาจทำให้ความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน
…แต่นั่น ดีสำหรับชาวโลกหรือไม่ คือสิ่งที่ทุกคนรู้แก่ใจดี…
คนรอบๆตัว มักมองว่าผมไม่เอาทรัมป์
เพราะประเด็นสงครามที่เขาอาจจะทิ้งยูเครนเป็นหลัก
แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ ผมห่วงเรื่องโลกร้อนมากกว่าอย่างอื่น
เขียนมาก็หลายครั้งเหมือนกัน กับเรื่องสิ่งแวดล้อม
สงคราม เต็มที่มันก็คงฆ่ากันไป แค่คู่กรณี
แต่โลกร้อนมันจะฆ่าพวกเราทุกคน
มันอาจไม่ใช่วันนี้ แต่ก็อีกไม่นานหรอก ถ้ายังทำกันแบบนี้
สงครามมันแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์รกโลก
…แต่เมื่อธรรมชาติลงโทษ ความเสียหายมันจะยิ่งกว่า
สงครามตลอดประวัติศาสตร์รวมกันเสียอีก….
…มันอาจหมายถึง การล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ โดยไม่เลือกด้วย
ว่าคุณเป็นใคร ผิวสีอะไร ความเชื่อแบบไหน…
…ดังนั้น คนบ้าๆแบบทรัมป์ เลยน่ารังเกียจเป็นพิเศษ…
สำหรับเรื่องโลกร้อนแล้ว สี่จิ้นผิง น่ารักกว่าพวกอเมริกันเยอะ
https://www.investing.com/news/commodities-news/what-are-they-saying-at-the-cop29-climate-summit-3718797
ความคิดเห็น
บันทึก
16
5
2
16
5
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย