เริ่มจากอินโดนีเซียที่ประกาศแบน โดยขอให้ทาง Google และ Apple บล็อกแอปพลิเคชัน Temu ทั้งใน Google Play Store และ Apple App Store เพื่อไม่ให้สามารถดาวน์โหลดโดยผู้ใช้ในอินโดนีเซียได้ โดยข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ Temu จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในอินโดนีเซีย เนื่องจาก Temu ยังไม่ได้มีการจดทะเบียนในอินโดนีเซีย ที่สำคัญมีการจำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าท้องตลาด
1
จนอาจส่งผลให้ธุรกิจ SMEs ไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้รัฐบาลอินโดนีเซียยังเตรียมปิดกั้นการลงทุนทุกรูปแบบของ Temu ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น หากทางบริษัทมีแนวคิดดังกล่าว
6
■
เวียดนามขู่บล็อก Temu
1
เวียดนามก็เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกัน โดยเรียกร้องให้ Temu ต้องจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องในประเทศ
รัฐบาลเวียดนามกล่าวว่าจะปิดกั้นโดเมนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ Temu รวมทั้ง Shein หากไม่จดทะเบียนการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์ของเวียดนามภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้
เเต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่าภาษีที่ทรัมป์เสนอจะทำให้ราคาสินค้าในครัวเรือนสูงขึ้น สถาบัน Peterson Institute for International Economics คาดการณ์ว่าแนวคิดของเขาจะทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางต้องเสียเงินเพิ่มปีละ 1,700 ดอลลาร์ ส่วน Center for American Progress Action ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายซ้าย คาดการณ์ว่าแนวคิดนี้อาจทำให้ครอบครัวทั่วไปต้องเสียเงินเพิ่มปีละ 3,900 ดอลลาร์
3
■
รัฐบาลของไบเดน-แฮร์ริส ยกเว้นภาษีนำเข้าขั้นต่ำ (de minimis)
2
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเตรียมประกาศแผนปิดช่องโหว่ยกเว้นภาษีนำเข้าพัสดุขนาดเล็กจากจีน หรือที่เรียกว่า De Minimis Provision เป็นกฎหมายที่อนุญาตให้สินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า และไม่ต้องถูกตรวจสอบที่ชายแดนเมื่อเข้ามาในสหรัฐฯ
โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จากเดโมแครต เรียกร้องให้โจ ไบเดน ใช้อำนาจบริหารปิดช่องโหว่ทางภาษีในการนำเข้าพัสดุมูลค่าต่ำจากจีน เพราะช่องโหว่ดังกล่าวเอื้อให้บริษัทอีคอมเมิร์ซอย่าง SHEIN และ Temu ได้รับผลประโยชน์โดยตรง
1
วิบากกรรมของ Temu สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของตลาดอีคอมเมิร์ซโลกที่การแข่งขันทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ แม้ Temu จะสามารถเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยกลยุทธ์ราคาต่ำ แต่การละเลยกฎระเบียบและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจจะย้อนกลับมาเป็นอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ