[รีวิวอัลบั้ม] CHROMAKOPIA - Tyler The Creator >>> หน้ากากนักรังสรรค์กับเฉดสีที่หายไป
*** ขอต้อนรับสู่ Uncut Version เกริ่นด้วยการย้อนไปพูดถึงสามอัลบั้มก่อนหน้านั้น ถ้าใครรู้ history แล้ว สามารถข้ามไปที่พารากราฟ CHROMAKOPIA ได้เลย
-ผมมองว่า Flower Boy ในปี 2017 คือจุดเริ่มต้นการรีแบรนด์ตัวเองครั้งสำคัญของ Tyler The Creator จากเด็กเกรียนโหวกเหวกโวยวายที่แสดงออกถึงความหลงไหลในฮิปฮอปและ skateboard สร้างภาพจำเด็กโข่งกางเกงขาสั้น จนมาสู่การเปลี่ยนผ่านที่วางท่าที gentle ขึ้น แนวเพลงเน้นความป็อปมากขึ้น คอนเซ็ปท์ที่จับต้องได้กว่าแต่ก่อน นั่นก็ทำให้นาย Tyler เริ่มที่จะแมส
โดยมีเพลงที่เข้าเป้าคนหมู่มากจริงๆอย่าง See You Again ถูกนำไปเปิดในคลื่นวิทยุ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเจ้าตัวก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหลที่เพลงตัวเองไปอยู่บนวิทยุได้เสียที ทั้งๆที่สมัยอัลบั้ม BASTARD จนถึง Cherry Bomb แทบไม่มีเพลงไหนถูกเอาไปเปิดในสถานีวิทยุได้เลย เนื่องด้วยความบ้าบอเกินเบอร์เนี่ยแหละ
เพลง See You Again นี้เองที่ทำให้ชาวไทยที่ยังไม่รู้จัก Tyler หรือชอบคอมเมนต์ใต้ข่าวในเชิง tyler who? เป็นอันต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที เมื่อมีคนใจดีช่วยอธิบายและยกตัวอย่างซิงเกิ้ลนี้ขึ้นมา แสดงว่ามนต์ขลัง See You Again ยังทำงานได้ผลจนถึงวันนี้จริงๆครับ
-ไม่ใช่แค่มนต์ของ See You Again เท่านั้นที่จะทำให้เจ้าตัวเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ตัวตนที่นำเสนอความเป็น “นายดอกไม้” นี้เองกลับมีสิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหัวจิตหัวใจของวัยรุ่นตอนโตแบบปุถุชนที่อ่อนโยน และเลือกที่จะไม่โกหกต่อความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป นั่นก็เป็นความกล้าบางอย่างเกี่ยวกับการเปิดกว้างเรื่องรสนิยมทางเพศด้วย คอนเทนท์นี้เองที่ทำให้ Tyler ถูกมองไปในทางที่เปลี่ยนไปด้วย
เป็นการล้างไพ่อดีตเคยแรงที่ชอบเหยียดเพศผ่านเพลงอย่างสนุกปาก จนกลายมาเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกตัวเองและคนอื่นมากขึ้น ไม่ใช่แค่เป็นการผลักดันตัวเองเท่านั้น อัลบั้มนี้เองก็ทำให้ชาวโลกได้รู้จัก Rex Orange County ศิลปินหนุ่มอินดี้ได้กลายเป็นศิลปินน่าจับตามองในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ได้เดินสายทัวร์รอบโลกไปแล้ว
-หลังจากที่ Flower Boy สร้างความน่าเชื่อถือให้แฟนเพลงได้ในระดับนึงแล้ว 2 ปีต่อมา Tyler เซอร์ไพร์สเราอีกครั้งด้วย IGOR งานที่ฉีกแนวทางจากชุดที่แล้วโดยสิ้นเชิง ทั้งการสร้างตัวตนด้วยไอ้หนุ่มผมวิกบลอนด์ใส่แว่นดำดูแปลกประหลาดผิดแผกจากแฟชั่นฮิปฮอปดั้งเดิม
นอกจากจะทำให้คนฟังทึ่งแล้ว สำเร็จก็ฮือฮาด้วยการเปิดตัวยอดขายอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก สามารถชนะ DJ Khaled ที่ขนศิลปินทั้งวงการฮิปฮอปมารวมไว้ในอัลบั้ม Father of Asahd ซึ่งนั่นก็ทำให้ DJ Khaled หัวเสียโคตรๆในการแพ้ยอดขายในครั้งนั้นจนเป็นศึก beef ที่เกิดปะทุขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ลากยาวมากนัก ต่างคนต่างอยู่ แต่ก็ยังมีเพลง EARFQUAKE สามารถขึ้นสู่อันดับสูงๆติดอันดับ 13 ใน Billboard Hot 100 อีกด้วย
-ทิ้งช่วงด้วยไทม์ไลน์คงที่ 2 ปีอีกเช่นเคย นาย Tyler ยังคงรักษาฟอร์มอย่างต่อเนื่องด้วย CALL ME IF YOU GET LOST กลับมาด้วยคาแรคเตอร์ที่แตกต่างไปอีก ภายใต้ alter-ego นามว่า Tyler Baudelaire ไอ้หนุ่มนักเดินทางที่หอบความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าด้วยไลฟ์สไตล์แฟชั่นที่แพงยิ่งขึ้น เป็นการจัดเต็มความ ความเป็นแฟชั่นนิสต้ามากที่สุดชุดนึง
เหมือนจะเป็นการเข้าสู่โหมด flex แบบที่แรปเปอร์คนอื่นๆมักทำกัน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือการคารวะ hip hop culture ดั้งเดิมด้วยการเพิ่ม DJ Drama มาเป็นดีเจเปิดแผ่น เรียกเสียง hype ให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปฟังมิกซ์เทปยุค 2000 ตอนต้นอีกครั้ง งานโปรดักชั่นแน่นๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงพลังบู๊ที่ยังคงหลงเหลือ และความคิดสร้างสรรค์ในการหยิบจับสิ่งที่คนฟังฮิปฮอปอาจหลงลืมไปแล้วให้กลับมาตะโกนลั่นได้อีกครั้ง
เมื่อปีที่ผ่านมาก็เป็นการทิ้งช่วงจากอัลบั้มนี้ 2 ปีเป๊ะๆด้วยการเซอร์วิสแฟนเพลงด้วยชุดเพลง Deluxe Version (The Estate Sale) เป็นการทำให้หายคิดถึงในช่วงที่อัลบั้มใหม่ยังไม่เสร็จตามแพลนเดิม มันจะมีเอ็มวีและแทร็คปิดท้ายชุดเพลงแถมอย่าง SORRY NOT SORRY เป็นการส่งสาสน์ถึงการสังหาร alter-ego ที่ผ่านมา 7 ตัวที่ผ่านมา หากสังเกตจะพบว่า มันจะมีตัวละครนึงซึ่งสวมชุดเครื่องแบบทหารด้วย อันเป็นไปได้ว่า Tyler ส่งสัญญาณตัวละครตัวถัดไปที่ผู้เขียนกำลังจะพูดถึงต่อจากนี้
การขยายท่อน Outro ที่แสดงท่าทีเริ่มจะหวงแหน privacy ที่ต้องสูญเสียไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่อน Left Shoulder Right shoulder ก็เข้าใจคิด จริงๆแล้วสำนวนนี้เป็นการเตือนเด็กที่กำลังข้ามถนนสไตล์ฝรั่งให้ระมัดระวังด้วยการมองซ้ายมองขวา ซึ่งก็สอดรับกับบริบทแห่งความหวาดระแวงที่ แต่ apply ให้ออกมาได้รสสนุกประหนึ่งได้ยักไหล่ นั่นก็ทำให้ไม่รู้สึกตึงไปกับคอนเทนท์จนเกินไป
-Darling, I ที่โชว์ความเพลย์บอยในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ปกติแล้วจะมาแนวพร่ำพรรณนา คลั่งรักข้างเดียว สามารถตอกย้ำเซนส์ป็อปได้อย่าง catchy ด้วยท่วงทำนองอาร์แอนด์บีหวานๆที่ผสมผสานระหว่างแซมเปิ้ลเพลง Vivrant Thing ของ Q-Tip และเสียงกระดกลิ้นแบบเพลง Drop It Like It’s Hot ของ Snoop Dogg ซึ่งรวมๆแล้วได้อิทธิพลป็อป-อาร์แอนด์บีของ The Neptunes มาเต็มๆ
Teezo Touchdown มาเพิ่มลูกเอื้อนเค้าคลอกันไป เป็นความลั้ลลาของชายหนุ่มที่ยังไม่อยากจะยึดติดในความสัมพันธ์มากนัก Forever is too long. อีกทั้งเขายังรู้สึกสนุกกับการเป็นศิลปินทำเพลงโดยที่ไม่เหงา
-หลังจากที่โปรยเสน่ห์ไปทั่วแล้ว นำพาสู่สถานการณ์ที่ชวนกลุ้มเพราะไปทำคนท้องในเพลง Hey Jane ซึ่งชที่มาของชื่อเพลงไม่ได้ทึกทักถึงตัวละครสาวนามสมมติที่ชื่อ Jane เพียงอย่างเดียว แต่ยังอ้างอิงจากชื่อคลินิคทำแท้งออนไลน์ในนิวยอร์คที่ชื่อ Hey Jane อีกด้วย
เป็นแร็ปร่ายยาวที่ครุ่นคิดไปมาระหว่างมุมมองของนาย T (ตัว Tyler) ที่คิดไปคิดมาว่าจะทำยังไงกับเด็กในท้อง เจอบททดสอบแห่งความรับผิดชอบ ในขณะที่นาง Jane ก็รู้สึกกระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวนจากการตั้งครรภ์ แต่ก็พยายามประนีประนอมอย่างถึงที่สุดในการไม่อยากให้นาย T รู้สึกกดดันจนเกินไป เธอก็ปล่อยให้นาย T เป็นคนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ต่างฝ่ายก็ยอมรับการตัดสินใจและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งก็จบสตอรี่แบบปลายเปิดอยู่ดี
-การต่อด้วย I Killed You จึงเป็นหยอกล้อ Hey Jane ได้อย่างตลกร้ายในที อ้าวเห้ย จบด้วยประโยค No pressure แล้วอยู่ดีๆก็ตัดสินใจเด็ดขาดตัดไฟตั้งแต่ต้นลมขึ้นมาซะงั้น (สุดแล้วแต่จะตีความถึงเจตนารมย์กันได้เลยครับ)
อันที่จริงแล้ว I Killed You ก็ไม่ได้มาแนวทาง horrorcore แต่อย่างใด เจตนาต้องการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงประเด็น self-identity ของคนดำที่มักจะโดนล้อปมสีผิวหน้าผมอยู่ร่ำไป I Killed You น่าจะเป็นการปัดเป่าถึงกลุ่มคนที่มีอคติต่อสีผิวเสียมากกว่า Donald Glover โผล่ร้องคอรัสในท่อน Outro เป็นการส่งไม้ต่อให้ตัวเองไปโผล่ในแทร็คต่อไปด้วย
ส่วน Lil Wayne ก็มอบความเซอร์ไพร์สที่โผล่มาโดยไม่ให้สุ้มเสียง “จุดปุ๊น” ก่อนขึ้น verse แต่ก็ได้ใจแฟนเพลงไทเลอร์อย่างถ้วนหน้า ถ้าหากใครติดตามไทเลอร์อย่างใกล้ชิดจะรู้เลยครับว่า Lil Wayne เป็นรุ่นพี่ที่ให้เกียรติโผล่มาแจมแทบทุกอัลบั้ม ตั้งแต่ยุค Cherry Bomb (ยกเว้น IGOR) และอัลบั้มนี้เขาก็ไม่พลาดเช่นกัน และเป็นการส่งต่อคบเพลิงให้เจ้าของเพลงได้ถูกเวลาด้วย ท่อนเต็มส่งท้ายของเจ้าของเพลงถือเป็นไคล์แม็กซ์ของจริง
-Take Your Mask Off นี่คือจุด kick start เพื่อปูทางเข้าสู่พาร์ทกะเทาะเปลือกของ Tyler อย่างมีนัยสำคัญ จะบอกว่า นี่คือโมเมนต์แห่งการปลอบประโลมก็ย่อมได้เช่นกัน ด้วยท่วงทำนองที่แลดูคลี่คลาย และการแร็ปให้กำลังใจจากนาย Tyler ที่ยกตัวอย่างถึงความรู้สึกยากลำบากที่จำเป็นต้องแอบซ่อนความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การซ่อนเพศสภาพภายใต้ร่มเงาแห่งศาสนา การเป็น single mom ที่พยายามประคับประคองลูกติดอย่างเหนื่อยหน่ายจนแทบไม่มีเวลาคิดที่จะมอบความสุขให้ตัวเอง แล้วก็วกกลับไปที่เรื่องของเจ้าของเพลงโดยอัตโนมัติ
ในตอนที่มีกระแสข่าวนี้ ผู้จัดการส่วนตัวของ ian ก็ออกมาตอบโต้พร้อมแท็กถึง Tyler ด้วยว่า “กูเป็นคน ATL กูเซ็นสัญญา ian ด้วยตัวกูเอง ian ไม่ได้ลอกสไตล์ เค้าเรียกว่าได้อิทธิพล” (เอ๊ะคุ้นๆ)
-โหมดร้องที่ยกระดับจาก Tomorrow ไปสู่ความ soulful drama ที่ขยี้ปมส่วนตัวให้ขมกว่าเดิมอย่าง Like Him นี่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญแห่งปมปัญหาครอบครัวที่ฝังใจ Tyler อยู่ตลอดมา โดยเฉพาะปมเกี่ยวกับพ่อแท้ๆที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่แบเบาะ ถ้าใครยังจำได้ Tyler เคยตัดพ้อถึงพ่อแท้ๆของตัวเองมาแล้วในเพลง Answer จากอัลบั้ม WOLF จนเป็นที่จดจำว่าเป็นเพลงเหงาที่สุดอย่างคาดไม่ถึงจากชายที่มีคาแรคเตอร์สุดวายป่วง ณ ตอนนั้น
พอมาถึงเพลง Like Him ด้วยมุมมองของชายวัย 33 ปีที่เกลียดพ่อฝังใจ กลับต้องมาครุ่นคิดถึงการปฏิเสธ DNA พ่อตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การได้ลักษณะทางกายภาพและอุปนิสัยบางอย่างที่เหมือนพ่อประหนึ่งเงาตามตัว นั่นก็ทำให้เขาโคตรจะเป็นกังวลในเรื่องของการได้คำสาปที่ทำให้เขาจะเป็นเหมือนคนที่เขาเกลียดมากที่สุดเสียเองหรือไม่? และนั่นก็เกิด plot twist ความรู้สึกส่วนลึกของคุณแม่ Bonita ที่พยายามเบรค Tyler ไม่ให้เกลียดพ่อของเขาไปมากกว่านี้
ในซีดีเวอร์ชั่น First Pressing จะมีเพลง Mother ซ่อนอยู่ ซึ่งจะบอกเล่าสถานการณ์และความรู้สึกที่มีต่อแม่เพิ่มเติม ผมยังไม่ได้ฟังตัวเพลงจึงไม่ขอลงรายละเอียดไปมากกว่านี้ครับ
-พอตัดความขม soulful จาก Like Him ด้วยเพลงถัดไปอย่าง Balloon ด้วยอิทธิพลของการแซมเปิ้ลเพลงป็อปญี่ปุ่นของ Akiko Yano นั่นทำให้เพลงนี้ค่อนข้าง shine bright ฉีกความเป็นฟิล์มนัวร์ที่ได้ปูทางไว้มากพอสมควร เหมือนได้ฟังเพลงคนละอัลบั้มก็ไม่ปาน แต่ก็เข้าใจเหตุผลถึงการมีอยู่ของเพลงนี้ด้วยคอนเทนท์ที่นาย Tyler ยังคงยึดอุดมการณ์ Work Hard Play Hard ไม่ไหลไปกับเทรนด์เพื่อเป็นคนอื่นได้โดยง่าย Doechii แร็ปเปอร์หญิงหน้าใหม่แห่งสำนัก TDE ก็ใส่ไฟแร็ปได้อย่างจัดจ้าน รับมุกตบมุกจากเจ้าของเพลงได้อย่างเข้าที
-ปิดท้ายอัลบั้มด้วย I Hope You Find Your Way Home อันเป็นการขมวดปมแห่งการออกไปค้นหาตัวเองได้เป็นอย่างดี ที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า CHROMAKOPIA อาจเป็นภาคต่อกลายๆของ CALL ME IF YOU GET LOST ก็เพราะผมเชื่อมโยงสาสน์ของเพลงนี้เข้ากับตีมอัลบั้มนั้นที่ว่าด้วยการหอบกระเป๋าออกเดินทางร่อนเร่ค้นหาจุดหมาย ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่การพร้อมเป็นสายซับให้ผู้ฟังที่กำลังหลงทางอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ Tyler ก็เหมือนคนที่กำลังค้นหาสิ่งที่ขาดหายนั้นเหมือนกัน
CHROMAKOPIA เป็นการดึงดูดให้เข้าสู่โลกแห่งฟิล์มนัวร์ วิตกกังวลของการมีชื่อเสียงแบบที่เจอในเพลง NOID การครุ่นคิดถึงอนาคตที่ต้องตั้งเป้าหมายเรื่องการตั้งหลักปักฐานมี soulmate ในเพลง Darling, I การต้องรับมือการเป็นพ่อคนในเพลง Hey Jane, Tomorrow สำหรับเพลงปิดอัลบั้ม I Hope You Find Your Way Home ก็ยิ่งตอกย้ำคำตอบเดิมที่ว่า ยังคงเห็นแก่ตัวที่จะทำอะไรสนุกๆในเส้นทางการเป็นศิลปินต่อไป
องค์ประกอบสิ่งละอันพันละน้อยก็มีอะไรให้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น ชาวคณะประสานเสียง gospel ก็ช่างงดงามปลอบประโลม และที่เหนือไปกว่านั้นคือการเล่นคำคล้องจอง Thought I Was Dead มาเป็น The Light Comes From Within ในช่วง Outro ช่างเป็นอะไรที่ล้ำลึก และปูเข้าสู่ Intro เพลงแรกอย่างแนบเนียน เป็นเทคนิคการเล่นซ้ำวนลูปที่เริ่มจะถูกใช้ตามๆกันแล้วล่ะครับ อย่างไรก็ดี นี่คือเพลงปิดอัลบั้มที่ให้คำตอบผู้ฟังได้เคลียร์ชัดเหมือนเสียงน้าค่อม มันช่างจ้าซะเหลือเกินนนนนน
-ถึงแม้ว่าภารกิจแห่งการเป็นวาทยากรที่นำพาซึ่งเฉดสีที่ไม่ได้ฉายสีไปมากกว่า mood and tone ที่เจ้าตัวอยากให้เป็น แต่อย่างน้อย ทั้ง light ที่ยังคงแหล่มและ fire passion ที่ยังคงลุกโชนเสมอ หากคุณได้ดูฟุตเทจ MASK IS OFF: CHROMAKOPIA คุณน่าจะได้สัมผัสถึงพลังงานอันเปี่ยมสุขของศิลปินที่แทบไม่มีความรู้สึกว่า นี่คือภาระงานที่ต้องทำ แต่คือความรู้สึกที่อยากระบายความอัดอั้นที่ผ่านมาอย่างไรให้สร้างสรรค์เสียมากกว่า
หน้ากากก็เป็นแค่คอสตูม
Top Tracks: St.Chroma, Rah Tah Tah, Darling, I , Judge Judy, Sticky, Take Your Mask Off, Tomorrow, Thought I Was Dead, Like Him, I Hope You Find Your Way Home