17 พ.ย. เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เส้นทางร้อยปี “Converse” รองเท้าใส่แล้วไม่ลื่น อดีตรองเท้า No.1 ในสหรัฐฯ

เปิดอดีตยาวนานเกือบ 120 ปีของรองเท้า “Converse” เคยนั่งบนบัลลังก์แบรนด์รองเท้าเบอร์ 1 ของสหรัฐฯ จากความบูมของกีฬา “บาสเกตบอล”
หากถามว่ารองเท้าแบรนด์ใดเป็นที่นิยมครอบคลุมคนทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัย หลายคนคงนึกถึง “คอนเวิร์ส” (Converse) เพราะใส่ได้ทั้งเพื่อการแต่งตัวไปข้างนอก จนถึงการออกกำลังกาย ใส่ได้ทั้งคนทั่วไป นักกีฬา นักดนตรี ไปจนถึงอดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง มิเชล โอบามา และแคนดิเดตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส
Converse ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตรองเท้าที่เหนือกาลเวลาที่สุดในอุตสาหกรรมรองเท้า โลโก้ All-Star สุดคลาสสิกยังคงเป็นที่รู้จักและจดจำจนถึงทุกวันนี้แม้ผ่านมานานกว่า 100 ปี
รองเท้า Converse เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
ผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ขึ้นชื่อที่สุดของ Converse คือ “Converse Chuck Taylor All Star” หรือที่คนในวงการมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “Chuck” ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นและเน้นการใช้งานได้จริงในทุกสถานการณ์
แล้วทราบหรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์รองเท้าชื่อดังก้องโลกนี้ เกิดจากบริษัทที่เคยทำผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่เป็นยาง แม้แต่ยางล้อรถ และโด่งดังได้เพราะกีฬาบาสเกตบอล
ชีวิตราบรื่นด้วยรองเท้าที่ไม่ลื่น
ก้าวแรกของ Converse เกิดจากชายที่ชื่อ “มาร์ควิส มิลส์ คอนเวิร์ส” เขากับเพื่อนได้ก่อตั้งบริษัท Converse & Pike ขึ้นมาในปี 1890 ที่เมืองมัลเดน รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นธุรกิจขายส่งรองเท้าบู๊ตยางให้กับร้านค้าปลีกในกรุงบอสตัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
หลังจากตั้งบริษัทได้ 1 ปี กีฬาบาสเกตบอลได้ถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐฯ จากชายที่ชื่อ เจมส์ เนสมิธ เมื่อเขาตอกห่วงเข้ากับผนังแห่งหนึ่งในรัฐแคนซัส แต่กว่าเส้นทางระหว่าง Converse กับบาสเกตบอลจะมาบรรจบกันคืออีก 25 ปีต่อมา
ต่อมาในปี 1908 เพื่อนของ มาร์ควิส มิลส์ ถอนตัว ทำให้บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Converse Rubber Company และสินค้าในสต็อกในช่วงแรก ๆ ของบริษัท ได้แก่ รองเท้าบู๊ตยาง รองเท้าหนังสำหรับล่าเป็ด และรองเท้าเทนนิส
แต่ตามชื่อของบริษัท Converse Rubber Company ไม่ได้ผลิตแค่รองเท้ายางเท่านั้น แต่ยังผลิต “ยางรถยนต์” และ “ทุกอย่างที่ทำจากยางได้”
มีเรื่องเล่าว่า มาร์ควิส มิลส์ เกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม เขาจึงอยากได้รองเท้าที่ใส่แล้วจะไม่ลื่น กลายเป็นความคิดริเริ่มทำรองเท้าที่พื้นรองเท้า (Sole) เป็นยาง จนได้รองเท้า “Converse Non-Skid” (ที่แปลว่า “ไม่ลื่น”) ซึ่งจะเป็นบรรพบุรุษของ Chuck
มาร์ควิส มิลส์ คอนเวิร์ส ผู้ก่อตั้ง Converse
บาสเกตบอลเปลี่ยนชีวิต
ต่อมาไม่นาน ในปี 1915 มาร์ควิส มิลส์ มองเห็นโอกาสในกีฬาบาสเกตบอลที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขามองว่า การเล่นบาสต้องการรองเท้าที่ไม่ลื่นและเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเขาตอบโจทย์นี้! Converse จึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในวงการกีฬา
แซม สมอลลิดจ์ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์ภายในองค์กร กล่าวว่า “ตอนนั้น Converse ผลิตผลิตภัณฑ์ยางเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น และมาร์ควิส มิลส์ ต้องการให้พนักงานมีงานทำตลอดช่วงฤดูร้อน” ในปี 1916 จึงมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์บาสเกตบอลเต็มรูปแบบเพื่อให้พนักงานมีงานทำตลอดปี
ด้วยโครงสร้างกับรูปทรงที่พอดีเท้า รวมถึงคุณสมบัติการไม่ลื่น ทำให้ Converse เริ่มกลายเป็นที่รู้จักในฐานะรองเท้าเล่นบาส โดยเป็นรองเท้าบาสเกตบอลรุ่นแรกที่ผลิตจำนวนมากในอเมริกา และมีการเปลี่ยนชื่อจาก Non-Skid เป็น “All Star” ในปี 1999
ถึงอย่างนั้น ยอดขายของ Converse ในช่วงแรกมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้พุ่งแรงติดจรวด
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รองเท้า Converse เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นคือการมาถึงของ “ชาร์ลส์ ชัค ฮอลลิส เทย์เลอร์” หรือ “ชัค เทย์เลอร์” นักบาสเกตบอลที่ชื่นชอบรองเท้า Converse All Star
ในปี 1921 ชัคได้เข้ามาที่บริษัท Converse เพื่อขอมาทำงานด้วย เขาบ่นเรื่องอาการเจ็บเท้าและพูดจาหว่านล้อมจนได้เข้าทำงานในฐานะทูตประชาสัมพันธ์และพนักงานขาย
นักบาสเจ้าเสน่ห์คนนี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มยอดขาย Converse เขามีพรสวรรค์ในการพูดจา สร้างเครือข่าย และมีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมบาสเกตบอลอย่างน่าประทับใจ
โจ ดีน อดีตผู้บริหารฝ่ายขายของ Converse เคยบอกว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ชื่นชอบเขา และเขารู้จักทุกคน หากคุณเป็นโค้ชและต้องการงาน คุณก็จะต้องโทรหา ชัค เทย์เลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาจะคุยกับเขาตลอดเวลาเมื่อพวกเขากำลังมองหาโค้ช”
เทย์เลอร์ใส่รองเท้า Converse All Star เดินทางไปทั่วสหรัฐฯ เขาขับรถข้ามประเทศไปจัดการฝึกสอนบาสเกตบอลให้กับโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ โดยโปรโมตคุณสมบัติของรองเท้าคู่นี้ไปด้วย
รองเท้า Converse ในยุคแรกถูกพัฒนาขึ้นมาโดยยึดหลักเรื่องความคล่องตัวและใส่แล้วต้องไม่ลื่น
กำเนิด Converse Chuck Taylor All Star
ขณะที่ไลน์การผลิตรองเท้ากีฬาของ Converse กำลังไปได้สวย ขาอื่นของบริษัทกลับไม่ดีตามไปด้วย ทำให้เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ประกอบกับหนี้สินที่หลงเหลือจากความพยายามที่ล้มเหลวในการผลิตยางรถยนต์ บริษัทจึงเข้าสู่ภาวะล้มละลายเป็นครั้งแรกในปี 1929
มิตเชลล์ คอฟแมน ประธานบริษัท Hodgman Rubber Company เข้ามารับช่วงต่อกิจการแทน แต่เพียง 1 ปีเขาก็เสียชีวิต บริษัทจึงถูกขายให้กับ อัลเบิร์ต เวลเชสเตอร์ ซึ่งยังคงดูแล Converse จนช่วงปลายของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เขาไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จึงขายบริษัทต่อให้กับตระกูลสโตนในปี 1939
ในช่วงเวลาแห่งความพลิกผันนี้ Converse ยังคืนชีพกลับมาได้ด้วยรองเท้า All Star รุ่นใหม่ที่มีพื้นยางหนาและส่วนบนหุ้มข้อทำจากผ้าใบหรือหนัง โดยดีไซน์เป็นสีน้ำตาลตัดกับสีดำ และมีแผ่นปะเสริมความแข็งแรงข้อเท้า
เทย์เลอร์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตลาดและการพัฒนารองเท้ารุ่นนี้ จนในปี 1932 Converse เปลี่ยนชื่อรองเท้าตามชื่อของเขาเป็น “Converse Chuck Taylor All Star” และเพิ่มลายเซ็นของเขาไว้ที่ด้านข้างของโลโก้ All Star บนแผ่นปะ
ในปี 1936 ชัคได้ออกแบบ Chuck Taylor All Star แบบหุ้มข้อสีขาว ซึ่งเป็นรองเท้าอย่างเป็นทางการของทีมชาติสหรัฐฯ ในการแข่งขันบาสเกตบอลโอลิมปิกฤดูร้อนที่เบอร์ลิน ซึ่งปีนั้นเป็นแรกที่บรรจุโอลิมปิกเป็นหนึ่งในกีฬาที่ใช้แข่งขัน และปรากฏว่า พวกเขาคว้าเหรียญทองมาได้ ทำให้รองเท้า Chuck โด่งดังในชั่วข้ามคืน
รองเท้าดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์นี้ซึ่งมีเส้นสีแดงและสีน้ำเงินที่แสดงถึงความรักชาติที่พื้นรองเท้าและโลโก้ ยังถูกนำมาใช้เป็นรองเท้าฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
Converse Chuck Taylor All Star รองเท้าที่ขายดีที่สุดของ Converse
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น Converse ได้เปลี่ยนสายการผลิตไปผลิตรองเท้ายาง เสื้อผ้าสำหรับสวมภายนอก และชุดป้องกันสำหรับกองทัพ ส่วนชัคไปรับใช้ชาติในฐานะกัปตันทีมบาสเกตบอลในกองทัพอากาศและเป็นโค้ชทีมบาสเกตบอลระดับภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่สำคัญสำหรับกองทัพสหรัฐฯ
ทหารจะทำการฝึกซ้อมโดยสวมรองเท้าหุ้มข้อของ Converse และ Chuck Taylor All Star ได้กลายเป็นรองเท้าฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการของกองทัพสหรัฐฯ
หลังสิ้นสุดสงคราม สมาคมบาสเกตบอล 2 เจ้าใหญ่ของสหรัฐฯ คือ สมาคมบาสเกตบอลแห่งอเมริกา (BAA) และลีกบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBL) รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “NBA”
Converse ยังออกแบบรองเท้าทรงหุ้มข้อสีดำ-ขาว ซึ่งเพิ่มเข้ามาในคอลเลกชันของทีมบาสเกตบอล และผู้เล่นตั้งแต่ระดับ NBA ไปจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมต่างก็สวมรองเท้า All Star สีขาวหรือสีดำ ทำให้ Converse เป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดในขณะนั้น ถึงกับมีคำกล่าวว่า “ถ้าต้องการเล่นบาสเกตบอลอย่างจริงจัง ต้องมีรองเท้า Chuck สักคู่”
ณ ปี 1955 Chuck ถือเป็นรองเท้าบาสเกตบอลอันดับ 1 ในสหรัฐฯ และ Converse ครองส่วนแบ่งอุตสาหกรรมรองเท้าผ้าใบถึง 80%
หลังจากที่รองเท้าทรงหุ้มข้อได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม Converse จึงได้เปิดตัวรองเท้ารุ่น “All Star Oxford” ซึ่งเป็นรองเท้าทรงหุ้มข้อต่ำในปี 1957 ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรองเท้าที่สวมใส่ได้ทุกวันและสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้
ความสำเร็จของ Chuck Taylor All Star ต้องบอกว่าอยู่ในระดับสุดยอด เพราะนับตั้งแต่ผลิตครั้งแรกจนถึงข้อมูลล่าสุดในปี 1997 สามารถขายไปได้ถึง 550 ล้านคู่
ใบปลิวโฆษณารองเท้า Converse ในอดีต
เส้นทางที่เปลี่ยนไป
ช่วงทศวรรษ 1960s ทีมบาสเกตบอลระดับอาชีพและมหาวิทยาลัยกว่า 90% สวมรองเท้า All Star รวมถึงรองเท้า Chuck สีสันต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้นเริ่มออกสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของทีมบาสเกตบอลที่ต้องการแมตช์รองเท้าให้เข้ากับสีเสื้อทีมของพวกเขา
แต่ยุครุ่งโรจน์ในวงการกีฬาของ Converse สิ้นสุดลงพร้อมกับการเสียชีวิตของชัคในปี 1969 เพราะช่วงเวลาดังกล่าว แบรนด์รองเท้าอื่น ๆ เช่น ไนกี้ (Nike) เริ่มที่จะก้าวขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในด้านรองเท้า
โดยเฉพาะตลาดบาสเกตบอลที่นักกีฬาพากันหันมาใช้ดีไซน์ล้ำยุคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่ารองเท้าคลาสสิกแบบเดิม และเริ่มเข้ามาแทนที่ Chuck
ในช่วงขาลงนี้ ตระกูลสโตนตัดสินใจขายบริษัทในปี 1972 ให้กับ Eltra Corporation อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ Eltra โอนสิทธิ์การบริหาร Converse ให้กับบริษัทแม่ Allied Corporation แทน
อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของ Chuck Taylor All Star ในโลกของกีฬากลับนำมาซึ่งโอกาสในตลาดอื่น ๆ เนื่องจากรองเท้า All Star ที่มีสไตล์เรียบง่ายเริ่มได้รับความนิยมจากคนดังในอุตสาหกรรมดนตรี โดยเฉพาะในกลุ่มพังก์ร็อก
ราคาที่เข้าถึงได้และความอเนกประสงค์ของรองเท้า All Star ทำให้รองเท้ารุ่นนี้เริ่มเข้าสู่กลุ่มวัฒนธรรมย่อยและแนวเพลงต่าง ๆ ในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 โดยมีอิทธิพลอย่างมากในแนวฮิปฮอปจนถึงขั้นที่ร็อกสตาร์ระดับโลกบางคนสวมรองเท้า Chuck ของพวกเขา รองเท้ารุ่นนี้จึงมีอิทธิพลต่อดนตรีเช่นเดียวกับบาสเกตบอลในอดีต
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ วง “เนอร์วานา” (Nirvana) ที่เลือกใส่รองเท้า Converse แทบทุกครั้งในงานแสดงต่อสาธารณะ ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมในโลกดนตรีร็อกโดยที่ไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ Converse ยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังมองหารองเท้าสไตล์ชิล ๆ ที่สวมใส่สบาย แต่สู้ราคารองเท้าที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีจากแบรนด์อย่างไนกี้ไม่ไหวอีกด้วย
Converse กลายเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์ ด้วยการออกสีสัน ลายพิมพ์ และลวดลายใหม่ ๆ
ดังนั้น แทนที่จะพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์และพยายามแข่งขันกับแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬารุ่นใหม่ในตลาดรองเท้า Chuck Taylor All Star กลับกลายเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนจะซื้อด้วยเหตุผลด้านแฟชั่นมากกว่าการใช้งานจริง ซึ่ง Converse ตระหนักถึงสิ่งนี้ และนำไปสู่การแนะนำสีสัน ลายพิมพ์ และลวดลายใหม่ ๆ มากมายเพื่อให้ตอบรับผู้คนได้ทุกวัยและทุกสไตล์
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเคลื่อนไหวเข้าสู่ตลาดใหม่ แต่ Converse ยังคงไม่สามารถทำกำไรได้ และเมื่อเจ้าของและผู้บริหารเปลี่ยนมือหลายครั้งตลอดช่วงยุค 80’-90’ ทั้ง Interco ที่เข้าซื้อ Converse ในปี 1986 แต่ปัญหาทางการเงินที่นำไปสู่การล้มละลายในปี 1991 รวมถึงการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดหลายครั้ง ทำให้ในที่สุด Converse ถูกฟ้องล้มละลาย โดยหลายคนกังวลเกี่ยวกับอนาคตของแบรนด์ในตำนานนี้
แต่ปี 2003 ไนกี้ตัดสินใจเข้าซื้อ Converse ด้วยดีลมูลค่า 309 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงเป็นบริษัทแม่ของ Converse จนถึงทุกวันนี้
การที่ไนกี้เข้ามาช่วยกอบกู้ Converse ทำให้เราได้เห็นการฟื้นคืนชีพของแบรนด์นี้ในช่วงทศวรรษถัดมา ด้วยกระแสทางเลือกใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ การเติบโตของวัฒนธรรมป็อปและกระแสของนักเล่นสเกตบอร์ดที่หันมาใช้ Chuck
ไนกี้และทีมการตลาดฉลาดพอที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ โดยใช้ประโยชน์จากมรดกอันล้ำค่าของบริษัทและบทบาทในด้านดนตรีด้วยแคมเปญต่าง ๆ จน Converse กลับมาโลดแล่นบนเส้นทางเดิมอีกครั้ง
และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดขายของ Chuck Taylor All Star พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อไนกี้ประกาศว่าในปี 2012 พวกเขาทำรายได้ถึง 450 ล้านเหรียญจาก Chuck Taylor All Star เพียงรุ่นเดียว หรือเท่ากับว่าสามารถขายได้ประมาณ 1 คู่ในทุก ๆ 43 วินาที
ด้วยความสำเร็จนี้ ทำให้ ณ ปีงบประมาณ 2023 ทั่วโลกมีร้านค้าของ Converse ทั้งหมด 136 แห่ง เกินครึ่งอยู่ในสหรัฐฯ ส่วนรายได้อยู่ที่ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3%
ประวัติธุรกิจ Converse
รองเท้าที่ “กมลา แฮร์ริส” เลือกใส่
รองเท้า Converse Chuck Taylor All Star กลับมาเป็นพูดถึงอย่างมากอีกครั้งในปี 2024 แต่คราวนี้ไม่ได้มาจากวงการกีฬา หรือดนตรี แต่มาจากเวที “การเมือง”
เรากำลังพูดถึง “กมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ แคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024
ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่เธอสวม Chuck ออกสื่อ เช่น ตอนช่วยไบเดนหาเสียงในปี 2020, ตอนขึ้นปกนิตยสาร Vogue ในปี 2021 หรือแม้แต่ในการปราศรัยหาเสียงครั้งใหญ่ของพรรคในปี 2024
แต่ถ้าใครสังเกตสไตล์การแต่งตัวของเธอแล้ว จะพบว่ารองเท้าคลาสสิกของ Converse เป็นรองเท้าคู่ใจในตู้เสื้อผ้าของเธอมานานแล้ว
กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใส่ Converse ขึ้นปก Vogue
แฮร์ริสเคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 ว่า “ฉันมีรองเท้า Chuck Taylor เยอะมาก ทั้งคู่หนังสีดำ คู่สีขาว แบบไม่มีเชือกผูก แบบมีเชือกผูก แบบที่ใส่ในอากาศร้อน แบบที่ใส่ในอากาศหนาว และแบบพื้นหนาสำหรับใส่กับชุดสูท”
แม้แต่ ดักลาส เอ็มฮอฟฟ์ สามีของเธอ ยังเคยบอกว่า แฮร์ริสสวมรองเท้า Chuck Taylor แทบจะในทุกโอกาส แม้แต่เมื่อเธอได้พบกับลูก ๆ ของเขาเป็นครั้งแรก “กมลา แฮร์ริส ที่ผมรู้จักสวมแต่รองเท้า Chuck และกางเกงยีนส์”
รองเท้าเหล่านี้สื่อถึงตัวตนของเธอและแนวทางของเธอต่อการเมือง รองเท้าผ้าใบของแฮร์ริส (โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) สื่อให้เห็นว่า เธอเป็นคนประเภทที่จริงจังและเน้นไปที่การปฏิบัติจริงมากกว่า
เอลิซาเบธ เซมเมลแฮ็ก ภัณฑารักษ์อาวุโสของพิพิธภัณฑ์รองเท้าบาจา บอกว่า “รองเท้าผ้าใบเป็นเหมือนการแต่งตัวที่พร้อมจะลุยเต็มที่”
ไม่เพียงเท่านั้น รองเท้า Converse สไตล์คลาสสิกของแฮร์ริสนั้นให้ความรู้สึกเข้าถึงได้และเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้คน ไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุ เชื้อชาติ เพศ รสนิยมทางเพศ หรือสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมใดก็ตาม
“ไม่ว่าคุณจะมีภูมิหลังอย่างไรหรือคุณยายของคุณพูดภาษาอะไรก็ตาม พวกเราทุกคนต่างก็มีรองเท้า Chuck กันทั้งนั้น ใช่ไหม?” แฮร์ริสกล่าว
ในแง่หนึ่ง การที่เธอเลือกสวมรองเท้าบ่งบอกว่า เธอไม่เพียงแต่เข้าใจและเข้าถึงชาวอเมริกันทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นคนติดดินอีกด้วย (หรือการตีความอีกอย่างหนึ่งก็คือ บางทีเธออาจแค่ชอบความสบาย)
โฆษกของ Converse กล่าวเมื่อปี 2020 ว่า “รองเท้าผ้าใบ All Star อันโด่งดังของเราได้รับความนิยมในช่วงเวลาแห่งความก้าวหน้า การเปลี่ยนแปลง และความคิดสร้างสรรค์มาโดยตลอด รองเท้าผ้าใบของเราได้รับการนำไปใช้ทั่วโลกและข้ามวัฒนธรรมในฐานะสัญลักษณ์แห่งการแสดงออก ... เรายินดีที่รองประธานาธิบดีหญิงเลือก Chuck Taylor All Star เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ส่วนตัวของเธอในช่วงเวลาประวัติศาสตร์”
รองเท้า Converse ที่ กมลา แฮร์ริส สวมใส่ระหว่างหาเสียงในการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/233058
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา