[BeautyInvestor] 🏆 ทองคำจบรอบหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง? ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม หรือพูดอีกแบบนึงก็คือ ปรับตัวลงมาตั้งแต่เริ่มเดากันว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งนั่นเองค่ะ คำถามสำคัญคือ นี่จะเ

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

16 พ.ย. เวลา 01:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🏆 ทองคำจบรอบหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง?

ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม หรือพูดอีกแบบนึงก็คือ ปรับตัวลงมาตั้งแต่เริ่มเดากันว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งนั่นเองค่ะ คำถามสำคัญคือ นี่จะเป็นสัญญาณหรือไม่ว่า ทองคำอาจจะจบรอบในยุคสมัยของทรัมป์?

ก่อนจะไปตอบคำถาม นิคกี้จะพาไปดูปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำกันทีละตัวค่ะ แต่บอกก่อนว่าเป็นมุมมองในฝั่งของ fundamental เท่านั้นนะคะ

1️⃣ รูปแรก | ดอลลาร์เทียบกับราคาทองคำ

โดยปกติแล้ว ค่าเงินดอลลาร์จะวิ่งสวนทางกับราคาทองคำค่ะ โดยเมื่อไหร่ที่ดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองมักจะปรับตัวลงนั่นเองค่ะ อย่างที่นิคกี้ขีดเส้นสีแดงไว้ในรูป

คำอธิบายไม่ยากค่ะ เพราะ ทองคำซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำจะมีราคาแพงขึ้นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ และทำให้ความต้องการทองคำลดลงนั่นเองค่ะ

ในทางกลับกัน หากดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำก็จะมีราคาถูกลงในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นค่ะ

🎯 การมาของทรัมป์ค่อนข้างชัดเจนว่า นโยบายของทรัมป์คือ ต้องการให้ดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น เพื่อรักษาสถานะของสหรัฐฯ นอกจากนี้เองในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งในสมัยแรก ดอลลาร์ก็แข็งค่ามากขึ้นเช่นกัน ทำให้สุดท้ายการที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง (ในส่วนของดอลลาร์) จะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำค่ะ

2️⃣ รูปสอง | real yeild เทียบกับ ทองคำ

real yield หรืออัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจะมีผลต่อราคาทองคำค่ะ เพราะ real yield คือตัวที่สะท้อนว่า การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อแล้วอยู่ที่เท่าไหร่

สาเหตุมาจาก ทั้งพันธบัตร และ ทองคำ ถือว่าเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ safe haven ด้วยกันทั้งคู่นั่นเองค่ะ แต่ความต่างก็คือ ทองคำไม่มีรายได้ หรือไม่มี yield นั่นเองค่ะ

ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ real yield สูงๆ หรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ เพราะ จะหมายความว่าพันธบัตรกำลังมีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับทองคำนั่นเองค่ะ

ในทางกลับกัน เมื่อไหร่ที่ real yield ต่ำ หรือปรับตัวลง ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ เพราะตอนนั้นจะหมายความว่าพันธบัตรมีความน่าสนใจน้อยกว่านั่นเองค่ะ

🎯 ถ้าได้ฟังคลิปก่อนๆเรื่องทรัมป์มาแล้ว เราจะเห็นว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด จะไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วอย่างที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ (ส่วนตัวยังคิดว่าคงไม่ถึงขนาดที่เฟดจะกลับไปขึ้นดอกเบี้ย) ทำให้ real yield จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกซักพักใหญ่

แม้ว่าโอกาสที่ real yield จะขึ้นไปเยอะมากกว่านี้จะมีจำกัด เพราะเฟดคงไม่ได้กลับลำขึ้นดอกเบี้ย แต่การที่ real yield ยังคงสูงแบบนี้ ก็ไม่ค่อยดีต่อทองคำค่ะ

3️⃣ รูปที่ 3 | demand หรือความต้องการทองคำ

รูปนี้จะเป็นความต้องการทองคำ โดยจากรูปแล้วเราจะเห็นว่าความต้องการทองคำสามารถแบ่งออกมาได้ 4 กลุ่ม คือ จิวเวอร์รี่ เทคโนโลยี ธนาคารกลาง และ การลงทุน

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็ คือ ความต้องการของทองคำมีความผันผวนมากๆในแต่ละไตรมาส

4️⃣ รูปที่ 4 | supply หรือ ปริมาณทองคำ

ปริมาณทองคำมาจากหลักๆ 3 ส่วนคือ การขุดเหมือง, net producer hedging และ การรีไซเคิลทองคำ

ซึ่งจากรูปเราจะเห็นชัดเจนว่า ปริมาณทองคำค่อนข้างคงที่ ต่างกับความต้องการของทองคำในรูปที่สามอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำจึงตกไปอยู่ที่ฝั่งของ demand เป็นหลักค่ะ

5️⃣ รูปที่ 5 | เจาะลึก demand ทองคำ (เทคโนโลยี และจิวเวอร์รี่)

หลังจากรู้แล้วว่าความต้องการทองคำคือปัจจัยที่มีผลต่อราคาทอง เราจึงแยกมาดูทีละกลุ่มว่ากลุ่มไหนมีผลต่อราคาทองมากที่สุด

ในรูปนี้ จะแบ่งมาของกลุ่มคือ เทคโนโลยี และจิวเวอร์รี่

ในส่วนของความต้องการทองคำจากฝากเทคโนโลยี เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า นิ่งมากๆค่ะ ดังนั้นเราสามารถตัดกลุ่มนี้ออกไปได้เลย

ในส่วนของจิวเวอร์รี่ มีขึ้นลงบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เยอะมาก โดยจะมีร่วงหนักในช่วง Covid-19 ที่คนถูก Lockdown รวมถึงหยุดซื้อจิวเวอร์รี่นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ และคงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นเราก็สามารถตัดกลุ่มนี้ออกไปได้เช่นกันค่ะ

6️⃣ รูปที่ 6 | เจาะลึก demand ทองคำ (ธนาคารกลาง และการลงทุน)

มารูปนี้ เราแบ่งมาดูกันอีก 2 กลุ่มคือ ธนาคารกลาง และการลงทุน

ภาพจะเห็นชัดๆเลยว่ามีความผันผวนสูงมากๆ และทิศทางจะค่อนข้างสอดคล้องกับราคาทองคำเลยนั่นเองค่ะ สะท้อนว่า ความต้องการทองคำจาก 2 กลุ่มนี้แหละที่มีผลต่อราคาทองคำ

โดยสาเหตุหลักที่ทองคำวิ่งแรงมากๆในช่วงหลังโควิดก็คือ ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อนั่นเองค่ะ ดูจากแท่งสีชมพูที่พุ่งสูงปรี๊ดเลยค่ะ

ขณะที่ความต้องการทองคำจากการลงทุนก็พุ่งเช่นกัน เพราะ 1. ซื้อเอาไว้ป้องกันเงินเฟ้อ กับ 2. ซื้อป้องกันความเสี่ยง เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส

🎯 ดังนั้นแล้วสิ่งที่เราต้องวิเคราะห์กันต่อ คือ ความต้องการทองคำจาก 2 กลุ่มนี้จะมีทิศทางเป็นอย่างไรในอนาคตค่ะ

7️⃣ รูปที่ 7 | ปริมาณการถือครองทองคำของ Gold ETF

รูปนี้มี 2 เส้นคือ ราคาทองคำ (สีทอง) กับ ปริมาณการถือทองคำแท่งของกองทุน Gold ETF ทั้งหลาย

ปกติแล้ว ETF ก็จะต้องมีวิธีที่จะต้องผูกราคาของ ETF ให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับสิ่งที่นโยบายการลงทุนระบุเอาไว้ ซึ่งแต่ละประเภทของ ETF จะมีวิธีทำที่แตกต่างกัน ไม่ว่ามีการใช้ตราสารอนุภัณฑ์ หรือจะลงทุนตรงๆเลยก็ตามค่ะ

Gold ETF ก็เช่นกันค่ะ เค้าก็จะต้องมีการลงทุนตรงในทองคำเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่ราคาทองคำพุ่งมาล่าสุด ปริมาณการถือทองคำของ Gold ETF ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนักทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ก็วิ่งตามกันมาโดยตลอด

เรื่องนี้มองได้ 2 แบบ คือ Gold ETF ไม่เชื่อว่า ราคาทองคำในปัจจุบันจะยืนอยู่ได้ และสุดท้ายต้องปรับตัวลงมา เลยยังไม่ยอมเข้าไปซื้อทองคำแท่งเพิ่มขึ้นนั่นเอง (การซื้อทองคำแท่งจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่น การขนส่ง และการจัดเก็บค่ะ) และอาจจะเลือกการใช้ devirative เข้ามาช่วยแทนนั่นเองค่ะ

🤔 ทำไมไม่ซื้อ >> สาเหตุนึงนิคกี้มองว่า การหยุดซื้อเริ่มต้นขึ้นในปี 2024 ซึ่งถ้าเราไปย้อนดูในรูปที่ 1 กับ 2 เราจะพบว่าเป็นช่วงที่ดอลลาร์แข็งโป๊กเลย และ real yield ก็สูงมากๆ แต่ทองคำดันพุ่งทะลุกรอบบนขึ้นมาไกลมากๆค่ะ ซึ่งนิคกี้เคยบอกอยู่ตลอดๆว่าในปีนี้ทองคำไม่ได้วิ่งบน fundamental ซักเท่าไหร่นั่นเองค่ะ >> ดังนั้นรูปนี้อาจจะบอกว่า ไม่ใช่แค่นิคกี้ที่คิดแบบนี้คนเดียว

📌 ความต้องการทองคำจากธนาคารกลาง และการลงทุน (กลัวสงคราม) เป็นสาเหตุหลักที่ทองคำพุ่งในปี 2024 ซึ่งเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยากมากๆค่ะ

ส่วนแบบที่ 2 คือ ถ้าสมมุติว่า ราคาทองคำสามารถยืนที่จุดแถวๆนี้ และไม่ร่วงกลับลงมา เราก็จะมีโอกาสได้เห็น Gold ETF เริ่มเข้าซื้อทองคำแท่งอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนราคาทองคำต่อไปในอนาคต

ส่วนราคาทองคำจะยืนได้หรือไม่จะอยู่ที่ demand จากฝั่งธนาคารกลาง และ การลงทุนค่ะ

ความต้องการจากการลงทุนต้องวนกลับไปดูรูปที่ 1 กับ 2 และดูเรื่องของความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ค่ะ

ขณะที่ความต้องการทองคำจากธนาคารกลาง ให้ดูรูปที่ 6 กับรูปถัดไปประกอบกันค่ะ

8️⃣ รูปที่ 8 | ปริมาณทองคำในทุนสำรองของธนาคารกลาง

รูปนี้นิคกี้นำปริมาณการถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก 20 อันดับแรกที่ถือทองคำมากที่สุดในโลกมาให้ดูค่ะ

ทุนสำรองทั้งหมดของธนาคารกลางคือ เส้นสีแดง | ตัวนี้จะรวมทุกอย่างค่ะ เช่น สกุลเงินต่างประเทศ สินทรัพย์อื่นๆ และทองคำ

ทุนสำรองเฉพาะทองคำคือ เส้นสีเหลือง ซึ่งจะนับเฉพาะส่วนที่แบงค์ชาติถือเป็นทองคำเท่านั้นค่ะ

ส่วนเส้นสีเขียว คือ สัดส่วนของทองคำเทียบกับทุนสำรองทั้งหมดนั่นเองค่ะ

จากรูปเราจะเห็นว่า ทุนสำรองของธนาคารกลางต่างๆเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างจริงๆจังๆหลังปี 2018 (หลังจากที่ก่อนหน้านี้นิ่งๆมาเกือบ 10 ปี) โดยทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาจากส่วนของทองคำนั่นเองค่ะ ดูได้จากทั้งเส้นสีเหลือง และเส้นสีเขียวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงในรูปที่ 6 เช่นกัน

เหตุผลก็ต้องแปลกใจกัน เพราะว่า ปี 2018 คือปีที่ทรัมป์เริ่มทำสงครามการค้าครั้งที่ 1 นั่นเองค่ะ

ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น เราก็จะได้ข่าวกันมาตลอดว่า ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเพิ่มการถือครองทองคำ ด้วยสาเหตุต่างๆมากมาย ซึ่งคงไม่มีใครรู้ความจริงว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะธนาคารกลางไม่ได้ออกมาประกาศโต้งๆ แต่เดาๆกันว่าน่าจะเพราะกลัวเรื่องของความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์กันมากกว่าค่ะ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ เรามักเห็นข่าวกันแล้วว่า ธนาคารกลางเริ่มหยุดซื้อทองคำเพิ่มแล้ว สาเหตุก็ไม่ต้องเดากันให้ยากค่ะ คำตอบคือ หลังๆทองคำมันแพงมากๆนั่นเอง

แล้วธนาคารกลางจะกลับมาซื้อไหม คำตอบคือ คงซื้อแหละ แต่คงไม่รีบ เพราะว่าถ้าเราดูจากเส้นสีเขียว เราจะพบอีกว่าสัดส่วนของทองคำในทุนสำรองสูงสุดในรอบ 20 กว่าปี (หาข้อมูลมาได้แค่นี้)

ดังนั้นถ้าราคาทองไม่ปรับตัวลงมาพอสมควร ธนาคารกลางคงไม่รีบกระโดดเข้าไปซื้อค่ะ

🎯 สรุปและความเห็นส่วนตัว

ทุกคนน่าจะเห็นภาพคร่าวๆกันแล้วว่า แต่ละปัจจัยมมีผลต่อราคาทองคำแบบไหนกันบ้าง ดังนั้นสรุปอีกทีแบบนี้ค่ะ

❌ ดอลลาร์ น่าจะแข็งค่าในยุคสมัยทรัมป์ ไม่ดีต่อราคาทองคำ

❌ real yield น่าจะอยู่ในระดับสูงนานขึ้น ไม่ดีต่อราคาทองคำ

👀 ความต้องการจากการลงทุน (กลัวสงคราม) อันนี้ต้องเดาใจทรัมป์ ว่าจะทำให้สงบ หรือจะสุมไฟเพิ่ม (สมัยแรกดีกับปูตินและคิม จองอึน เฉยๆเลยก็มีให้เห็น)

🏦 ความต้องการธนาคารกลาง คงซื้อต่อแหละ แต่ไม่ได้รีบมาก

📈 ความต้องการ Gold ETF คงรอให้ชัวร์ก่อนว่า ราคาจะอยู่ที่ระดับไหนอย่างยั่งยืน

ดังนั้นแล้วส่วนตัวมองว่า ถ้าดูบนปัจจัยฟื้นฐานต่างๆแล้ว ราคาทองคำคงมีย่อลงมา แต่ถ้าเจอแนวรับใหญ่ๆน่าจะเอาอยู่ เพราะอาจจะเป็นจุดที่ธนาคารกลางเริ่มเข้าซื้อทองคำอีกครั้ง เช่นเดียวกับ Gold ETF โดยสรุปแล้ว นักลงทุนอาจจะรอให้ราคาทองเจอแนวรับก่อน แล้วค่อยเข้าซื้อก็ได้ค่ะ

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🏆 ทองคำจบรอบหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง?

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน