16 พ.ย. เวลา 09:39 • ปรัชญา

*๘. คณิกาสูตร

[๑๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์
ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง เกิดความบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน วิวาทกัน ประหัตประหารกันและกัน ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดิน
บ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศาตราบ้าง นักเลงเหล่านั้นถึงความตายในที่นั้นบ้าง
ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง
ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้าภิกษุมากรูปด้วยกัน นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ในพระนครราชคฤห์ มีนักเลง ๒ พวก เป็นผู้กำหนัด มีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงแพศยาคนหนึ่ง ...
ถึงความตายในที่นั้นบ้าง ถึงความทุกข์ปางตายบ้าง พระเจ้าข้า ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
เบญจกามคุณ ที่บุคคลถึงแล้ว, และที่บุคคลจะพึงถึง ทั้งสองนี้เกลื่อนกล่นแล้วด้วยธุลี คือ ราคะ แต่บุคคลผู้เร่าร้อนสำเหนียกตามอยู่
อนึ่ง การศึกษาอันเป็นสาระ, ศีล, พรต, ชีวิตพรหมจรรย์ การอุปัฏฐากอันเป็นสาระ
นี้เป็นส่วนสุดที่ ๑
อนึ่ง การประกอบตนพัวพันด้วยความสุขในกาม ของบุคคลผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า โทษในกามไม่มี
นี้เป็นส่วนสุดที่ ๒
ส่วนสุดทั้งสองนี้เป็นที่เจริญแห่งตัณหาและอวิชชาอย่างนี้ ตัณหาและอวิชชา ย่อมยังทิฐิให้เจริญ
สมณพราหมณ์บางพวกไม่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้น ย่อมจมอยู่ (ในสงสารด้วยอำนาจการถือมั่น สัสสตทิฐิ)
สมณพราหมณ์บางพวกย่อมแล่นไป (ด้วยอำนาจการถือมั่น อุจเฉททิฐิ)
ส่วนท่านผู้ที่รู้ส่วนสุดทั้งสองนั้นแล้ว เป็นผู้ไม่ตกไปในส่วนสุดทั้งสองนั้น และได้สำคัญด้วยการละส่วนสุดทั้งสองนั้น
วัฏฏะของท่านผู้ที่ดับไม่มีเชื้อเหล่านั้น ย่อมไม่มีเพื่อจะบัญญัติ ฯ
จบสูตรที่ ๘
อ้างอิง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๘. คณิกาสูตร
โฆษณา