17 พ.ย. เวลา 05:30 • ไลฟ์สไตล์

เมื่อผมได้ครองบัลลังก์ “ราชันย์ฝันสลาย”

ที่เดียวไอ้น้องงงงง คืนนี้พี่จองโต๊ะมุมด้านใน
ขอมุมสลัว ๆ รู้ตัวว่าต้องร้องไห้ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา
บทเพลงกวน ๆ ที่ผมคุ้นหูในวัยเด็ก จากวงเพื่อชีวิตอันดับ 1 อย่าง “คาราบาว” มาพร้อมกับพระเอก MV เป็น “หม่ำ จ๊กมก” ด้วยทำนองของดนตรี เนื้อร้อง และ มิวสิควิดีโอ ทำให้นี่กลายเป็นเพลงอกหักแบบจิ๊กโก๋ โจ๊ะ ๆ ไปโดยปริยาย
ด้วยฐานะทางบ้านที่ขัดสน ทำให้ผมต้องเติบโตไปพร้อม ๆ กับการทำงานร้านปลาเผา บทเพลงนี้มักจะถูกเปิดวนในแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 3 – 4 ครั้ง เพราะในสมัยนั้นไม่มี YouTube เอาไว้เปิดเพลงอย่างทุกวันนี้
ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ของตัวเพลง ในวัยเด็กผมเลยมองว่านี่เป็นเพลงสนุก ๆ เพลงนึง ที่ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญมากนัก นอกจากบทเพลงที่ใช้บรรเลงรอให้บรรดาลูกค้าขี้เมาในร้าน หยิบขวดเบียร์ขึ้นมาเคาะตามจังหวะ
เมื่อระยะเวลาของชีวิตผมเดินเข้ามาในโค้งสุดท้าย ก่อนจะเข้าวัยเลข 3 ในที่สุดผมก็นึกกลับมาถึงเพลงนี้อีกครั้ง ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงกลับไม่ใช่ เนื้อร้อง ทำนอง แต่กลับเป็นชื่อเพลงที่ว่า “ราชันย์ฝันสลาย” ที่มันดันตรงกับตัวผมเสียนี่กระไร
ผมคือผู้เชี่ยวชาญด้านการผิดหวัง
ผมคงไม่อยากจะเคลมว่าผมเป็น No.1 ในวงการผิดหวัง แต่ตลอดชีวิตของผมมันก็ดันผิดหวังเป็นอาจิณเสียจนน่าเบื่อหน่าย ก็จริงที่อาจมีคนที่ผิดหวังบ่อยกว่าผมก็ได้ แต่ผมแค่สงสัย ว่าทำไมผมต้องผิดหวังซ้ำซากขนาดนี้ น่ะสิ 55
บทความนี้ผมแค่อยากจะมาแชร์ว่า เรื่องบัดซบ ๆ มันก็เกิดขึ้นได้ตลอด บางครั้งอาจเกิดกับคนเดิม ๆ ซ้ำบ่อยไปหน่อย อย่างที่ศัพท์วัยรุ่นทุกวันนี้พูดกันว่า “เกิดแต่กับตรู” เอาล่ะเชิญรับชมความวายป่วงของชีวิตผมได้เลย !
แรกเริ่มเลย ความฝันของผมคือ "วิศวกร"
นายช่างใหญ่ที่ฉันนั้นใฝ่ฝัน
เชื่อว่าทุกคนย่อมเคยมีความฝัน เด็ก ๆ ได้เห็นชุดทหารก็อยากเป็นทหาร พอได้เรียนหนังสือก็อยาก เป็นหมอ เป็นวิศวกร พอยิ่งเรียนสูงขึ้นเป้าหมายของแต่ละคนก็จะชัด ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ถูกไหมล่ะครับ
แน่น๊อนนน !! ผมเองก็มีความฝันเช่นกัน ด้วยครอบครัวที่เติบโตมาในแคมป์คนงานก่อสร้าง เป้าหมายสูงสุดของผมมันจะมีอะไรมากไปกว่า “นายช่างใหญ่” เป็นวิศวกรให้พ่อแม่ที่เป็นกรรมกรของผมได้เชิดหน้าชูตา
เป็นไปตามคาดครับผม “ผมเรียนไม่จบ” ด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง หลัก ๆ ก็จะเป็นเรื่องของ “การเงิน” ความทะเยอทะยานของผมมันแรงกล้ามาก ๆ แต่พอบ้านจน เรื่องค่าเทอมก็ต้องมองหาแบบเลือดตาแทบกระเด็น
ถึงที่บ้านจะพอกู้หนี้ยืมสินหาค่าเทอมมาให้ได้ แต่นั่นไม่ได้รวมกับค่าอยู่ค่ากินค่าใช้ ที่ผมต้องตรากตรำทำงานร้านข้าวต้มโต้รุ่งเพื่อหามาจุนเจือส่วนนี้ และการอดหลับอดนอนทำงานนอกช่วงเวลางาน มันก็ทำให้ผมไม่สามารถโฟกัสกับการเรียนได้จริง ๆ
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นอย่างที่หวังเอาไว้ ผมทำได้แค่เดินคอตกกลับบ้าน เพราะไม่สามารถเรียนต่อได้ ด้วยเกรดที่กระท่อนกระแท่น ค่าเทอมที่ค้างเอาไว้ก็ไม่มีปัญญาหามาจ่าย อาจไม่ใช่แค่เรื่องของการเงินหรอก ตัวผมเองก็อาจไม่เหมาะกับสายงานนี้จริง ๆ ก็ได้ จบไปกับ “ฝันสลายครั้งที่ 1”
ธุรกิจแรกที่ได้ลองจับในชีวิต
เจ้าของธุรกิจผู้มั่งมี
เชื่อว่าผู้ที่ล้มเหลวกับการเรียนเหมือนอย่างผม น่าจะเบนเข็มชีวิตไปในทิศทางคล้าย ๆ กัน เมื่อเรียนแล้วมันไม่รุ่ง เราก็ต้องมามุ่งมั่นสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง มันต้องเป็น “เจ้านายตัวเอง” สิวะถึงจะเท่ !!
ก็นั่นแหละครับ 555 ช่วงนั้นพ่อผมถูกหวย แล้วผมที่ออกมาทำงานประจำเป็นพ่อครัว ก็มีเงินทุนเร็ว ๆ น้อย ๆ เมื่อนำเงินสองก้อนมารวมกัน ธุรกิจแรกของผมก็มาถึง นั่นคือร้านคั่วไก่เล็ก ๆ ชื่อว่า “คั่วไก่วายป่วง”
ผมเป็นคนชอบประชดประชัน ขนาดชีวิตของผมที่บัดซบแบบนี้ ผมยังเอามาประชดในชื่อร้าน ความวายป่วงของร้านคั่วไก่น้อย ๆ ของผม เริ่มต้นจาก “ความไม่ประสีประสา” ด้านการเงิน และ ด้านธุรกิจ
ผมเช่าที่เล็ก ๆ ซึ่งมันเล็กจริง ๆ แค่ 3 x 2 เมตร ลานปูนโล่ง ๆ จากนั้นนำเอาซุ้มขายของไปตั้ง มีโต๊ะหน้าร้านเล็ก ๆ 2 ตัวให้ลูกค้าได้นั่งกิน ตอนนั้นผมปลื้มอก ปลื้มใจ แบบบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
จากกิเลสที่แค่อยากเปิดร้านให้ตัวเอง ทำให้ผมลืมที่จะนึกถึงว่า การเปิดร้านมันต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะตามมา บัญชงบัญชีก็ทำไม่ค่อยเป็น ทำเลร้านก็ไม่ค่อยดี เห็นว่าง ๆ ใจร้อน ๆ ก็รีบยกร้านมาตั้งลงไป
ถึงลูกค้าประจำจะชื่นชอบในรสชาติคั่วไก่ของผมก็เถอะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ “ไม่รอด” ถึงตอนนั้นผมจะเริ่มมีรายได้จากการเป็นนักเขียนแล้ว แต่ให้ตายเถอะ ธุรกิจที่ผมภูมิใจล้มไม่เป็นท่า และนี่ก็เป็น “ฝันสลายครั้งที่ 2”
นักเขียนฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระที่ "ไม่ได้อิสระ"
ฟรีแลนซ์ผู้มีอิสระล้นเหลือ
จากคนที่ล้มแล้วล้มอีก ผิดหวังกับอาชีพในวัยในวัยเด็ก ได้ลองหยิบจับธุรกิจก็ล้มไม่เป็นท่า แต่ก็ยังดี๊ ! ที่ผมมีโอกาสดี ๆ เข้ามา ได้ฝึกฝนการเขียนบทความ จนกลายมาเป็น “นักเขียนฟรีแลนซ์” ที่ประทังชีวิตมาถึงตอนนี้
โอ้โห ! ในช่วงแรก ๆ นี่มันงานในฝันชัด ๆ ไม่ต้องไปทำงานนอกบ้าน แค่ตื่นขึ้นมา ลุกไปเปิดคอมพิวเตอร์ นั่งพิมพ์แต๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ ลงไป ร้อยเรียงเรื่องราวในหัวเป็นตัวอักษร ส่งให้ลูกค้า เท่านี้ก็ได้เงิน
อาจเป็นเพราะผมเป็น “คนพูดมาก” ด้วยกระมัง เลยทำให้ผมเติบโตในสายอาชีพนี้ได้รวดเร็วมาก ๆ และเมื่อมองย้อนไปที่เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน ที่เรียนจบมหาลัย ดูเหมือนผมจะได้เงินต่อเดือนเยอะกว่าพวกเขาซะด้วยหน่ะสิ
แต่สิ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอสุด ๆ คือ “อิสระ” ผมไม่ได้ถูกผูกมัดกับอะไรเลย งานอิสระมันก็แบบนี้ล่ะนะน้อง ๆ ( ผมมักจะคุยโวกับเพื่อนมนุษย์เงินเดือนในวงสุรา )
พอผ่านไป ๆ มา ๆ อาชีพฟรีแลนซ์ที่ผมอวดนัก อวดหนา ว่ามันเต็มไปด้วยความอิสระ มันกลับไม่อิสระอีกแล้ว เพราะมีเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” เข้ามา
ผมก็ลืมคิดไปว่าต้นทุนของงานฟรีแลนซ์มันคือตัวผมเอง แล้วตัวผมก็ต้องกินต้องอยู่ ต้องเปิดแอร์เวลาทำงาน ต้องจ่ายค่าไฟ ต้องจ่ายค่าเช่าที่พัก ค่าอาหารแมว ค่าเดินทาง ค่าสิ่งของที่อยากได้ และ ค่านู่นค่านี่อีกเพียบ !
สุดท้ายแล้วผมก็ตาสว่าง ! ถึงจะเป็นฟรีแลนซ์มันก็ไม่ได้อิสระ ถ้าคุณไม่ได้รวยล้นฟ้า คุณต้องหาเงินมาเติมเต็มความต้องการต่าง ๆ แล้วอาชีพแบบนี้มันเสี่ยงมากเลยนะ ถ้าเดือนไหนไม่มีคนจ้าง นอนเหงือกแห้งแน่ ๆ
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องลดความอิสระให้น้อยลง มีระเบียบวินัยให้มากขึ้น เพิ่มจำนวนงานให้มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองต่าง ๆ ให้น้อยลง จบกันอิสระที่โหยหา และนี่คือ “ฝันสลายครั้งที่ 3”
ถึงจะฝันสลายอีกสักกี่ครั้ง แต่โลกแห่งความจริงก็ยังรออยู่
นี่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมอกหักตอนอนุบาล 3 กับการสุ่มใบดำใบแดงแล้วโดนใบแดง รวมถึงเรื่องที่โดนแฟนทิ้งครั้งแรกอีกนะ จะบอกว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องราว “ฝันสลาย” ก็คงได้เหมือนกันมั้ง 55555
แต่.. แล้วยังไงอ่ะ ?
สุดท้ายแล้วเมื่อชีวิตมันยังลิขิตให้คุณหายใจต่อไปได้ ก็แค่ลุกขึ้นมาสู้ต่อไป ผิดหวังอีกกี่ครั้ง ใจสลายอีกกี่หน สุดท้ายแล้วการดิ้นรนมันยังไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้สักหน่อย
ผมเลิกแล้วกับการคาดหวังอะไรลม ๆ แร้ง ๆ เลิกนึกถึงคำพูดหล่อ ๆ ที่ว่า “ฝันให้ไกล.. ไปให้ถึง” ถามหน่อยเถอะคนเรามันมีสักกี่ % ที่ฝันเอาไว้แล้วทำได้จริง ๆ
อาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ผมก็มองว่ามันก็จริงนะ ทุกครั้งที่ผม “ฝันสลาย” มันเจ็บปวดจนไม่อยากทำอะไร มันหมดอาลัยตายอยาก โทษดิน โทษฟ้า โทษชะตา จนลืมโทษตัวเอง
คาดหวังน้อย ผิดหวังน้อย
สุดท้ายนี้ทุกความผิดพลาดตลอดเกือบ 30 ปี สอนให้ผมเป็นคน “เจียมตัว” มีความฝันได้ แต่ค่อยเป็นค่อยไป เช่น ถ้าอยากจะมีเงิน 10 ล้าน ลองเริ่มจากเงิน 1,000 ก่อนไหม ถ้ามีปัญญาหาได้ ก็เพิ่มเป็น 10,000 ทำไปเรื่อย ๆ ขยับเป้าหมายไปเรื่อย ๆ สุดท้ายมันก็ถึงเองแหละน่า จะ 100 ล้านก็ทำได้ จริงไหมล่ะครับ ?
ส่วนผู้ที่มีความฝันแล้วพุ่งเข้าหา ผมยินดีด้วยจริง ๆ และ ผมอิจฉาพวกคุณมาก ๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงแก้ไขเรื่องผิดพลาดหลาย ๆ อย่าง แล้ววางความฝันให้ตรงกับสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ให้มากที่สุด
ไม่รู้ว่ากว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ผมจะยัง “ฝันสลาย” ไปอีกสักกี่ครั้ง แต่อยากให้บทความนี้คอยตอกย้ำตัวผมเอง ว่าจะไม่ยอมแพ้ และลุกขึ้นมาได้ใหม่เสมอ หวังว่าคุณที่หลงเข้ามาฟังเสียงบ่นของผมจะเป็นเช่นนั้นเหมือนนะครับ
รักผู้อ่านเสมอ เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน
นักเขียนหัวยุ่ง
17 พ.ย. 2567
โฆษณา