24 พ.ย. เวลา 13:00 • ข่าวรอบโลก
สหรัฐอเมริกา

ถ้ายูเครน(ยัง)มีอาวุธนิวเคลียร์......

แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า..ยูเครนก็เคยมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ก่อนแล้ว...
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และสหราชอาณาจักรได้ลงนามใน "บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์" กับยูเครน
โดยให้คำมั่นร่วมกันที่จะประกันความมั่นคงของชาติยูเครน
3
พวกเขาจะจัดงานเฉลิมฉลองร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และอังกฤษในเดือนหน้าเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีการลงนามข้อตกลง
และที่สำคัญ อาจจะเชิญจีนและฝรั่งเศสเข้าร่วมด้วย
ตามรายงานของสื่อเช่น "Pravda" ของยูเครน หรือแม้แต่ "Times" ของอังกฤษต่างก็อ้างถึงเนื้อหาของการบรรยายสรุปที่เตรียมไว้สำหรับกระทรวงกลาโหมของยูเครนและเปิดเผยว่า
"หากสหรัฐอเมริกาตัดความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน ยูเครนอาจพัฒนานิวเคลียร์ และจุดระเบิดได้เองภายในเวลาไม่กี่เดือน”
2
จอร์จี้ ทิกซี่ (Georgi Tiksi )โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยูเครนกล่าวว่ายูเครนมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
1
“เราไม่ได้ครอบครอง ไม่พัฒนา และไม่ได้ตั้งใจที่จะได้รับ(สร้าง)อาวุธนิวเคลียร์ ยูเครนร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
และยังคงโปร่งใส(อย่างเต็มที่)ในการกำกับดูแลของหน่วยงาน โดยตัดความเป็นไปได้ในการใช้วัสดุนิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร” "เขากล่าวเสริม
......นี่เป็นเนื้อหาของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน.....
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัสเซีย ศัตรูในปัจจุบันของยูเครน เนื่องจากยูเครนเคยเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากเป็นอันดับ3ของโลก
1
รองจากสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ตามหลักการกระจายดินแดนยูเครนสืบทอดอาวุธและอุปกรณ์ของอดีตสหภาพโซเวียตไว้ในดินแดนของตนเองไว้ไม่น้อย.....
รวมถึงขีปนาวุธข้ามทวีป SS19 จำนวน 130 ลูก, ขีปนาวุธข้ามทวีป SS24 "Scalpel" จำนวน 46 ลูก, หัวรบนิวเคลียร์ 1,700 ลูก, เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ 33 ลำ และอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี 2,850 ลูก
1
จะเห็นได้ว่า ขนาดของอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนนั้นใหญ่มากจนอาจจะดูว่าเกินกว่าของจีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกถาวร 3 รายของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
1
และอยู่ในระดับต้นๆ ในระนาบเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหตุผลในทางปฏิบัติหลายข้อ(มากกกก) ยูเครนหลังได้รับเอกราชจึงเลือกที่จะละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์
และกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่มีนิวเคลียร์
3
จนมีคำกล่าวว่าอาวุธนิวเคลียร์ที่บางประเทศใฝ่ฝันและกลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก นั่นคือของที่มาจาก ยูเครน(ในขณะนั้น)
ทำไม ผมถึงพูดอย่างนั้น??? เราค่อยๆมาดูเหตุผลกัน.....
เนื่องจากระบบอุตสาหกรรมการทหารในยุคโซเวียตกระจัดกระจายไปในหมู่สาธารณรัฐสหภาพ
บางคนมีหน้าที่จัดหาวัตถุดิบ บางคนรับผิดชอบในการผลิตชิ้นส่วน และบางคนรับผิดชอบในการประกอบ
ดังนั้นแม้ว่ายูเครนจะสืบทอดกิจการอุตสาหกรรมการทหารที่ยอดเยี่ยมมากมาย
แต่วิสาหกิจเหล่านี้กลับไม่มีอะไรเลย
1
เมื่อพวกเขาถูกแยกออกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ของสหภาพโซเวียตและไม่เหลือการสนับสนุนทางการเงินจากส่วนกลาง
2
เป็นผลให้ยูเครนไม่เพียงแต่ไม่มีความสามารถในการรักษาและควบคุมคลังแสงนิวเคลียร์ขนาดใหญ่เท่านั้น
1
แต่ยังไม่มีเงินทุนที่จะทำลายอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย นี่สิ....
2
เพื่อนๆคิดว่า การบำรุงรักษาอาวุธนิวเคลียร์มีค่าใช้จ่ายเท่าไรล่ะครับ?
ว่ากันว่า ค่าบำรุงรักษาอาวุธนิวเคลียร์แต่ละชนิดในสหรัฐอเมริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเลยทีเดียว....
1
แต่ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหรือการตรวจสอบที่ราคาสูงเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นประเทศที่ปั๊มเงินเองได้อย่างมากมาย
และเป็นประเทศที่มี GDP ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนรวมทางเศรษฐกิจที่จำกัด GDP ต่อหัวของยูเครน อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในยุโรป และก็กลายเป็นภาระที่หนักมาก
1
ในเวลาเดียวกัน สภาพแวดล้อมภายนอกที่อาจไม่อนุญาตให้ยูเครนสามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้อีกต่อไป....
แต่ขอบอกนะครับว่า อาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนไม่เพียงมีมากมายเท่านั้น แต่ยังทรงพลังอีกด้วย
และคลังแสง(จำนวนแสนสาหัส)นิวเคลียร์ของประเทศนี้ก็มีหัวรบนิวเคลียร์ประเภทต่างๆเป็นจำนวนมาก อีกด้วย
1
เช่น ระเบิดไฮโดรเจน
ดังนั้นหากระเบิดไฮโดรเจนเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมได้ มันจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ
ดังนั้น ในประเด็นการบังคับให้ยูเครนละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ สมาชิกถาวรทั้ง5ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจึงได้บรรลุข้อตกลงที่หาได้ยากนี้อย่างง่ายดาย
1
หลังจากการวางแผนอย่างรอบคอบ
สหรัฐอเมริกาและรัสเซียได้ลงนามในข้อตกลงไตรภาคีกับยูเครนเป็นครั้งแรก ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าสหรัฐฯ จะจัดหาเงินทุน
1
และรัสเซียจะจัดหาเทคโนโลยี อุปกรณ์ และบริการเพื่อช่วยยูเครนในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์
และเปลี่ยนให้กลายเป็นประเทศที่ไม่ใช่ ประเทศนิวเคลียร์
เพื่อขจัดข้อกังวลของยูเครน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และสหราชอาณาจักรได้ลงนามใน "บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์" กับยูเครน
โดยร่วมกันให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาความมั่นคงของชาติยูเครน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ยูเครน
และฝรั่งเศสก็ให้คำมั่นสัญญาที่คล้ายกันนี่ด้วย เช่นกัน
1
เนื้อหาหลักๆในพันธสัญญามี 2 ข้อ
หนึ่ง คือ สัญญาจะไม่ใช้หรือขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์กับยูเครนซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ใช่นิวเคลียร์
สอง หากยูเครนถูกประเทศอื่นรุกรานโดยใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือถูกคุกคามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ความก้าวร้าวก็จะให้ได้รับการรับประกันความปลอดภัยที่สอดคล้องกัน
ณ จุดนี้ ความมั่นคงแห่งชาติของยูเครนได้รับการรับรองร่วมกันโดยสมาชิกถาวรทั้ง5ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
1
ดังนั้นในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2544
เมื่อไซโลเก็บขีปนาวุธข้ามทวีป SS-24 หลังสุดท้ายในยูเครนถูกทำลาย ยูเครนจึงประกาศตัวเองอย่างเป็นทางการว่าเป็นประเทศที่ไม่ใช่นิวเคลียร์
เอาล่ะ....หากยูเครนไม่ละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ในตอนนั้น แต่อย่างน้อยก็แอบเก็บระเบิดนิวเคลียร์ไว้ได้จำนวนหนึ่ง
1
ยูเครนจะต้องเผชิญกับ "ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ" ของรัสเซียเมื่อสองปีก่อนหรือไม่ล่ะ และโดยพื้นฐานแล้วรัฐทางตะวันออกทั้ง 4 แห่งจะถูกรัสเซียยึดครองหรือไม่ ? คำตอบคือ
1
ไม่ต้องสงสัยเลย
เนื่องจากเมดเวเดฟ รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย และคนอื่นๆ ได้แสดงความคิดเห็น(ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ)นี้มากกว่าหนึ่งครั้ง
จากมุมมองนี้ การปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างใจกว้างของยูเครนในสมัยนั้นอาจเป็นพรแก่โลก
1
แต่ก็อาจเป็น "ความพ่ายแพ้" ต่อความมั่นคงของชาติและอันตรายใหญ่หลวงที่ซ่อนอยู่ ในเวลาเดียวกัน
ครั้งนึง ประเทศเหล่านั้นที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนให้ยูเครนละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์และเสนอให้รับประกันความปลอดภัยสำหรับการละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์
ณ ตอนนี้ ประเทศเหล่านั้น น่าจะรู้สึกไม่สบายใจและอับอายกับสิ่งที่ยูเครนกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้
2
และนี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรัสเซีย
ในหมู่พวกเขาก็ไม่ต้องพูดถึงมากมายนัก อย่างน้อยคุณควรจะขอบคุณยูเครนที่ให้ความปลอดภัย และพยายามหลีกเลี่ยงการทำให้โลกร้ายแรงลงไปกว่านี้?
พวกเขาทั้งหมดเน้นความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้ล่ะ? สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับยูเครนและได้ถอดบทเรียนที่น่าจดจำ
โดยสรุปง่ายๆว่า มันจะยากขึ้นสำหรับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่แล้วที่จะละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ของตน
1
และประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่นิวเคลียร์แต่มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย อาจพยายามหาทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอาวุธนิวเคลียร์กันอย่างจริงจัง
ดังนั้น...อาวุธนิวเคลียร์ อาจส่งผลให้โลกมีแนวโน้มปลอดภัยน้อยลง หรือ มากขึ้นในอนาคต
2
ปัญหาต่อไป คือ แล้วใครล่ะที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมดนี้?
1
โฆษณา