เมื่อวาน เวลา 02:00 • ธุรกิจ

ขายความคุ้ม? กาแฟพันธุ์ไทย เปลี่ยนคนดื่ม > คนซื้อแฟรนไชส์

“กาแฟพันธุ์ไทย” กลยุทธ์สร้างแฟรนไชส์จากความคุ้มค่าบัตรสมาชิก PT MAX CARD PLUS (บัตรแดง)
วันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธความสำเร็จของ “กาแฟพันธุ์ไทย” แบรนด์แฟรนไชส์ร้านกาแฟสัญชาติไทย หนึ่งในธุรกิจ Non-Oil ภายใต้การบริหารของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เจ้าของปั๊มน้ำมัน PT กว่า 2,200 แห่งทั่วประเทศ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2555 สาขาบางปะหัน ชูความเป็นแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์และเสน่ห์ของความเป็นไทย
ความสำเร็จของแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทย คือ การแซงคู่แข่งแฟรนไชส์กาแฟอินทนิลที่มีจำนวน 1,005 แห่ง ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของตลาดกาแฟในบ้านเรา ด้วยจำนวนสาขา 1,150 แห่ง เป็นรองแค่ “คาเฟ่ อเมซอน” ที่มีสาขากว่า 4,277 แห่ง กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของ “กาแฟพันธุ์ไทย” คืออะไร ทำไมแรงจัด! แซงขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของแบรนด์ร้านกาแฟในไทยได้
จุดเริ่มต้นกาแฟพันธุ์ไทย
ร้านกาแฟพันธุ์ไทยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555 ในปั๊มน้ำมัน PT สาขาบางปะหัน ให้บริการลูกค้าที่ขับรถและเดินทางผ่านไปมาได้หยุดพักผ่อนและดื่มกาแฟดีที่มีคุณภาพ โดยกาแฟพันธุ์ไทยเลือกใช้เมล็ดกาแฟ “ดอยช้าง” เมล็ดกาแฟอาราบิก้าของไทยที่ได้รับมาตรฐานติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก ทำให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น นุ่มลิ้น
แบรนด์แฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยมีความโดดเด่นไม่เหมือนร้านกาแฟสมัยนิยมทั่วไป สไตล์การออกแบบตกแต่งร้านเน้นความเป็นไทยแท้ ทั้งโลโก้มีที่มาจากเอกลักษณ์ของประเทศไทย คือ “ช้างไทย ศาลาไทย และดอกราชพฤกษ์” และข้อความสนับสนุนแบรนด์ “เข้ม เท่ จริงใจ แบบไทยแท้ๆ” รวมถึงสีของแบรนด์ที่เป็น “สีน้ำตาลเข้มและสีของไม้”
ว่ากันว่า DNA ที่ถูกถ่ายทอดมาจากแบรนด์แม่อย่าง PT มาสู่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ก็คือ การเป็นแบรนด์ผู้ท้าชิงที่ผู้บริโภครักมากที่สุด ทำให้เราเห็นการทำตลาดในช่วงที่ผ่านมาของกาแฟพันธุ์ไทย แม้ตอนนั้นเป็นเบอร์ 3 ของตลาดร้านกาแฟในบ้านเรา กลับมาแซงขึ้นเป็นเบอร์ 2 ได้ และมีการนำสนอความแปลกใหม่ที่สร้างความแตกต่างในตลาดจนสามารถจับต้องได้
กลยุทธ์การตลาดผ่านบัตร Max Card Plus สีแดง
แฟรนไชส์ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ผลักดันตัวเอง เข้าไปอยู่ในทุกโมเม้นต์ของความต้องการดื่มกาแฟของลูกค้าทุกคน หรือ Every Where Every One เพราะจากการรีเสิร์ชของพันธุ์ไทยพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ยังมองว่าพันธุ์ไทยเป็นร้านกาแฟในปั๊มน้ำมัน PT ต่อจากนี้กาแฟพันธุ์ไทยจะให้น้ำหนักการขยายสาขานอกปั๊ม PT มากขึ้น
ที่ผ่านมากาแฟพันธุ์ไทยขยายสาขาได้ครอบคลุมพื้นที่ 74 จังหวัด ขาดจังหวัดที่ยังไม่ได้เข้าไป คือ ยะลากับนราธิวาส สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การขยายสาขาส่วนหนึ่งได้มีการนำข้อมูลจากบัตร Max Card ที่ปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 23 ล้านราย
รวมถึงตัวบัตร Max Card Plus สีแดง ที่มีคนถืออยู่ราว 1 ล้านราย เข้ามาเป็นตัวช่วยในการขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทย โดยจะมีโมเดลของร้าน 3 รูปแบบ คือสาขา Stand Alone, สาขาในรูปแบบ Built-In ในอาคาสำนักงาน และสาขาที่เป็น Kiosk
ลูกค้าของร้านกาแฟพันธุ์ไทย 70% จะเป็นลูกค้าที่ถือบัตร Max Card Plus สีแดง ซึ่ง Royalty Platform ตัวนี้จะสามารถเข้ามาช่วยสร้างฐานลูกค้าประจำให้กับร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้เป็นอย่างดี และจากการนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ
โดยเฉพาะส่วนลดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทั้งส่วนลดค่าน้ำมัน 50% จำนวน 200 ลิตร/เดือน และเครื่องดื่มร้านกาแฟพันธุ์ไทย 50% จำนวน 10 แก้ว/เดือน และอื่นๆ ช่วงดึงดูดลูกค้า Max Card Plus สีแดง เข้ามาใช้บริการในปั๊มเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ความคุ้มค่าของบัตร Max Card Plus สีแดง
✅ส่วนลดค่าเครื่องดื่มกาแฟที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกเมนู 50% จำนวน 10 แก้วต่อเดือน
✅สมมติซื้อเครื่องดื่มในร้านกาแฟพันธุ์ไทยวันละ 60 บาท/แก้ว
✅ซื้อ 1 เดือน 60 x 30 = 1,800 บาท
✅ซื้อ 1 ปี 1,800 x 12 = 21,600 บาท
✅รับส่วนลด 50% จำนวน 10 แก้วต่อเดือน 30 x 10 = 300 บาท
✅รับส่วนลด 50% ต่อปี 300 x 12 = 3,600 บาท
✅หักส่วนลดต่อเดือน 1,800 - 300 = 1,500 บาท
✅หักส่วนลดต่อปี 21,600 - 3,600 = 18,000 บาท
นั่นก็เท่ากับว่า 1 เดือน ลูกค้าร้านกาแฟพันธุ์ไทยประหยัดเงิน 300 บาท ถ้า 1 ปี ก็ 3,600 บาท
ถ้าหักค่าสมัครสมาชิกบัตร 599 บาท/ปี ก็ยังประหยัดถึง 3,001 บาท/ปี
ยังไม่รวมส่วนลดอื่นๆ เช่น ส่วนลดน้ำมัน 50 สตางค์/ลิตร จำนวน 20 ลิตร/เดือน อีกด้วย
เรียกได้ว่า บัตร PT Max Card Plus สีแดงแรงจัด! คุ้มเต็มแมกซ์
3 โมเดลเปิดร้ายกาแฟพันธุ์ไทย
1. Kiosk
📌ขนาดพื้นที่ เริ่มต้นที่ 9 ตรม.
📌ค่าก่อสร้าง,งานตกแต่ง,งานระบบ 378,000 บาท
📌ค่าออกแบบพื้นที่ 50,000 บาท
📌ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน 400,000 บาท
📌ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 150,000 บาท
📌ค่าดำเนินการก่อนเปิดร้าน 80,000 บาท
📌เงินประกันแบรนด์ 200,000 บาท
รวมราคาเริ่มต้น (ไม่รวม VAT) 1,308,000 บาท
2. Built-In
📌ขนาดพื้นที่ เริ่มต้นที่ 35 ตรม.
📌ค่าก่อสร้าง,งานตกแต่ง,งานระบบ 800,000 บาท
📌ค่าออกแบบพื้นที่ 50,000 บาท
📌ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน 750,000 บาท
📌ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 150,000 บาท
📌ค่าดำเนินการก่อนเปิดร้าน 80,000 บาท
📌เงินประกันแบรนด์ 200,000 บาท
รวมราคาเริ่มต้น (ไม่รวม VAT) 2,030,000 บาท
3. Stand Alone
📌ขนาดพื้นที่ เริ่มต้นที่ 40 ตรม.
📌ค่าก่อสร้าง,งานตกแต่ง,งานระบบ 1,320,000 บาท
📌ค่าออกแบบพื้นที่ 50,000 บาท
📌ค่าอุปกรณ์ภายในร้าน 750,000 บาท
📌ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 150,000 บาท
📌ค่าดำเนินการก่อนเปิดร้าน 80,000 บาท
📌เงินประกันแบรนด์ 200,000 บาท
รวมราคาเริ่มต้น (ไม่รวม VAT) 2,500,000 บาท
ทุกโมเดลการลงทุนแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทย ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนอื่นๆ
📌ROYALTY FEE + MARKETING FEE 3% (ของยอดขาย /เดือน)
📌ค่าเช่าเครื่อง POS 2,000 บาท /เดือน (หรือ 24,000 /ปี)
📌ยังไม่รวมค่าวัตถุดิบเปิดร้านครั้งแรก ประมาณ 120,000 - 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่สาขา
📌อายุสัญญา 6 ปี (ได้รับเงินประกันคืน)
ซื้อแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยวันนี้ คืนทุนเมื่อไหร่?
เปิดร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่คนนิยมมี 3 โมเดลให้เลือกลงทุน ได้แก่ คีออส บิ้วอิน และ สแตนด์อโลน ใช้เงินลงทุนตั้งแต่ 1.93 – 3.63 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งเป็นราคารวมค่าวัตถุดิบเปิดร้านครั้งแรก 200,000 บาท
ระยะสัญญา 6 ปี และ ค่า Royalty fee และ Marketing Fee 3% + 3% = 6%
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าร้านกาแฟพันธุ์ไทย นอกจากจะมีเครื่องดื่มชา กาแฟขายแล้ว ยังขายเบเกอรี่และขนมอบ (Bakery & Pastry), ขนมแปรรูปจากชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ (Pack Food), สินค้าที่ระลึกและของพรีเมียมจากแบรนด์ (Merchandising) รวมถึงอุปกรณ์การชงกาแฟ เมล็ดกาแฟและกาแฟดริปพร้อมดื่มที่บ้าน (Home Coffee Product)
✅ขอประมาณการราคากาแฟ+ขนมอื่นๆ เฉลี่ย 70 บาท/แก้ว/บิล
✅ต้นทุนกาแฟประมาณ 30%
✅ค่า Royalty fee และ Marketing Fee 3% + 3% = 6%
✅เอาต้นทุนกาแฟ 30% + ค่าสิทธิ์ 6% = 36%
✅ขายกาแฟราคา 70 บาท/แก้ว มีต้นทุน = 25.2 ปัดเป็น 26 บาท/แก้ว
✅กาแฟหนึ่งแก้วมีกำไร 44 บาท
✅ประมาณการเฉลี่ยวันหนึ่งขายกาแฟได้ 200 แก้ว
✅ยอดขายต่อวัน 44 x 200 = 8,800 บาท
ยอดขายต่อเดือน 8,800 x 30 = 264,000 บาท (กำไรยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย)
ค่าใช้จ่าย
✅ประมาณการค่าเช่าอยู่ที่ 50,000 บาท/เดือน อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้นะคับ
✅ค่าจ้างพนักงาน 4 คน ประมาณ 52,000 บาท/เดือน
✅ค่าน้ำ และ ค่าไฟอยู่ที่ 10,000 บาท/เดือน
✅ค่าซ่อมบำรุงในร้าน 5,000 บาท/เดือน
✅รวมค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือน 117,000 บาท
กำไรสุทธิต่อเดือน 264,000 – 117,000 = 147,000 บาท/เดือน (ยังไม่หักเงินเดือนตัวเอง)
สมมติถ้าเลือกลงทุนแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยทั้ง 3 รูปแบบ
📌Stand Alone ลงทุน 3,630,000 บาท หาร กำไรสุทธิ 147,000 บาท = คืนทุน 24.6 เดือน
📌Built in ลงทุน 2,530,000 บาท หาร กำไรสุทธิ 147,000 บาท = คืนทุน 17.2 เดือน
📌Kiosk ลงทุน 1,930,000 บาท หาร กำไรสุทธิ 147,000 บาท = คืนทุน 13.1 เดือน
เป้าหมายการขยายสาขาแฟรนไชส์ “กาแฟพันธุ์ไทย”
เป้าหมายการขยายสาขาของแฟรนไชส์ร้านกาแฟพันธุ์ไทย จะให้ความสำคัญกับการขยายสาขานอกปั๊มน้ำมัน PT มากขึ้น เพราะจะช่วยขยายฐานลูกค้าแบรนด์พันธุ์ไทยให้เติบโตมากขึ้น โดยจากผลการทำวิจัยพบว่า คนยังมองแบรนด์พันธุ์ไทยเป็นร้านกาแฟที่อยู่ในปั๊ม PT การขยายออกมานอกปั๊มมากขึ้นจะเข้ามาช่วยเปลี่ยนภาพดังกล่าวได้ทางหนึ่ง
ปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,150 สาขา ในจำนวนนั้นเป็นแฟรนไชส์ 530 สาขา เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเพิ่งเริ่มต้นขายแฟรนไชส์กับผู้สนใจเมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนร้านที่เปิดในปั๊ม 60% และร้านนอกปั๊ม 40% มีเป้าหมายในการขยายเพิ่มสิ้นปี 2567 อีก 400 สาขา มียอดขาย 2,600 ล้านบาท ภายในปี 2570 หรือในอีก 3 ปี ขยายให้ครบ 5,000 สาขา
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ PT ยังมองว่าคนไทยยังมีการดื่มกาแฟต่อหัวต่ำกว่าในหลายประเทศ คนไทยดื่มเฉลี่ยวันละไม่ถึง 1 แก้ว หรือ 300 แก้ว/คน/ปี ขณะที่ญี่ปุ่นมีตัวเลขอยู่ที่ 400 แก้ว และยุโรปสูงถึง 600 แก้ว/คน/ปี
และนั่นจึงทำให้ PT วางกลยุทธ์สร้างแฟรนไชส์ร้าน “กาแฟพันธุ์ไทย” ให้ครบ 5,000 สาขาภายในปี 2570 โดยขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดผ่านความคุ้มค่าของบัตรสมาชิก PT MAX CARD PLUS (บัตรแดง)
#กาแฟพันธุ์ไทย #แฟรนไชส์ #ขยายสาขา #การลงทุนแฟรนไชส์ #แฟรนไชส์กาแฟ #แฟรนไชส์แบรนด์ดัง #แบรนด์ไทย #แฟรนไชส์ไทย #ขายแฟรนไชส์ #ศูนย์รวมแฟรนไชส์ไทยอันดับ1 #ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์
โฆษณา