18 พ.ย. เวลา 06:44 • ปรัชญา
เรื่องความสุข เมื่อไล่เรียงกัน ตั้งแต่เกิดมา ร้องกระแว้ๆ มันก็ไม่รับรู้ จริงๆ พอหิวก็ร้อง ได้กินอิ่มก็หลับนอนไม่รู้เรื่องราวอะไร เจ็บปวดก็ร้อง ..ยังพูดไม่ได้ มันเหมือนทำไปตามสัญชาตญาณของกาย ที่จิตนั่นอาศัยอยู่ พอโตขึ้น อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
..พอพูดได้ ก็เริ่มจะขอเป็น อยากได้ ได้ในสิ่งที่ ..สมดังใจอยากก็มีความสุข สุขที่สมหวัง ไม่สมหวังก็เสียใจ ..บ่นรำพึงรำพัน . มันก็ใช้ชีวิต ..ไปตามอารมณ์ที่อยาก มีสมหวัง ก็มีความสุข ไม่สมหวัง ก็..ทุกข์ .. มันเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้ไแเกิดที่ไหน หรือที่อื่น ..มันเกิดขึ้นในกายนี้
พอโตขึ้น ร่างกายแข็งแรง ..ก็ออกไปทำมาหากิน ไปเจอะเจอเรื่องราวต่างมากมายก่ายกอง เกิดมีการคล้องกรรม คนนั้นคนนี้ ด้วยอารมณ์ ..ที่ชอบไม่ชอบ ก็เกิดในกายที่อาศัย กายนั้นก็มีวิญญาณทั้งหก .พอรับรู้ พบเห็น.มันสะสมเรื่องราวต่างๆเก็บเข้า มีความอยากรู้อยากเห็น อยากร่ำรวยเงินทอง อยากให้คนสรรเสริญเยินยอ .
มันเป็นความอยากไปเสียทั่งหมดดในเรือนกาย ก็ใช้กายไปเรื่อยๆ อนิจจา สังขารกรรมนี้ไม่เที่ยงหนอ ..กายนี้ไม่เที่ยงหนอ ..พอกาลเวลาผ่านมานานสิบๆปี กายมันเริ่มเหี่ยวเฉา เหมือนต้นไม้ .เริ่มมีโรคแมลงรุกหนัก กัดกินเปลือกไม้ บ้างก็ชอนไชเข้าไปภายในแก่นไม้ .บ้างก็ว่า กายมันแก่ใจไม่แก่ ..เอาเข้าไปหลอกตัวเอง ว่ามีความสุข ...เหมือนถึงคราวกายเจ็บป่วย แก่เฒ่า กายที่ว่ามีความสุข ..ทำไมมันกลับกาย มีความทุกข์ทรมานเกิดขึ้น ..อ้อ..ก็เราใช้กาย แต่นำกาย..ใช้ไปตามอารมณ์กรรมตัวกระทำที่เกิดขึ้น
.แต่เราก็เชื่ออารมณ์ที่ปรุงแต่งกาย .ไม่เคยหยิบจับ อารมณ์นึกคิดหงายขึ้นมาดู . ที่เราหยิบจับอารมณ์ หงายขึ้นมาดูไม่ได้ ก็เพราะกายนี้ มันไม่นิ่ง จิตมันก็เลย ไม่นิ่งไปด้วย ..เมื่อเรานำกายมาอยู่นิ่งได้ จิตก็นิ่งตามกาย ..ไม่มีอารมณ์ มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น เราก็ได้รู้จักความสุขอีกแบบหนึ่ง ที่กายเบา จิตเบา มีความสุขที่อารมณ์นั่นสงบไปได้
โฆษณา