19 พ.ย. เวลา 13:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

เติมเต็มชีวิต ไม่ใช่แค่เติมเงินในบัญชี

บทเรียนจาก แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ พระเอกหนังที่ปฏิเสธเงิน 500 ล้านบาท
แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) มีชื่อจริงว่า Matthew David McConaughey เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1969 ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่เมืองออสติน เริ่มแสดงหนังเรื่องแรกในภาพยนตร์เรื่อง Dazed and Confused (1993)
ต่อมาแม็คคอนาเฮย์ เริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดฮอลลีวูดมากขึ้นจากการที่ได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติก - คอมเมดี้ที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่อง ทั้ง The Wedding Planner (2001) ที่ได้แสดงคู่กับ เจนนิเฟอต์ โลเปซ และ How to Lose a Guy in 10 Days (2003) แสดงคู่กับ เคท ฮัดสัน และ Two for the Money (2005) ที่เขาแสดงร่วมกับ อัล ปาชิโน
นอกจากจะโด่งดังจากการแสดงหนังแล้ว เขายังได้รับเลือกให้เป็น “Sexiest Man Alive” โดยนิตยสาร People ในปี 2005 อีกด้วย
[ พระเอกหนังที่รับทุกโอกาส สู่พระเอกที่ปฎิเสธหนังค่าตัวร้อยล้าน ]
ในช่วงปี 2000 ต้นๆ เราจะได้เห็นแม็คคอนาเฮย์ในบทบาทพระเอกหนังโรแมนติกคอมเมดี้หลายเรื่อง เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ไว้ว่า การรับเล่นหนังแนวนี้เป็นหนึ่งใน “กลยุทธ์ชีวิต” เพื่อสร้างเส้นทางสู่การเป็นนักแสดงแถวหน้าด้วยเหตุผลที่ว่าหนังแนวนี้สร้างรายได้มากพอที่จะสะสมความมั่งคั่ง และในอนาคตถ้าเขาอยากรับบทอะไรเขาก็จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าตัว
ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จในสายอาชีพก็นำมาซึ่งโอกาสอีกมากมาย เขาเริ่มทำธุรกิจบันเทิงของตัวเอง ทั้งค่ายเพลง ค่ายหนัง งานการกุศล งานนักแสดง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่สุดท้ายพออยากจะทำไปซะทุกอย่าง เขาพบว่าชีวิตและงานทุกด้านที่ออกมาเขาทำได้แค่พอผ่านไปได้ เพียงเท่านั้น
1
แม็คคอนาเฮย์ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้บนพอดแคสต์กับ ไรอัน ฮอลิเดย์ ​(Ryan Holiday) นักเขียนชื่อดัง ว่า ทุกเช้าในปี 2008 เขารู้สึกเหมือนตัวเองต้องตื่นขึ้นมาจัดการกับกองไฟ 8 กองบนโต๊ะทำงานทุกเช้า
“ทุกเช้าบนโต๊ะเปรียบเหมือนมีกองไฟ 8 กองอยู่ตลอดเวลา” แม้กองไฟที่ว่าไม่ใช่กองไฟจริงๆ แต่เป็นกองไฟที่เปรียบเปรยถึงงานต่างๆ ที่เขาต้องจัดการดูแลทุกวัน
และนั่นก็ทำให้เขาย้อนถามตัวเองว่า… ทำไมเขาถึงไม่อยากแม้แต่จะรับสายจากออฟฟิศของตัวเอง?
คำถามนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แม็คคอนาเฮย์ตัดสินใจลดภาระในชีวิต และเลือกเส้นทางที่ชัดเจนขึ้น เขาตัดสินใจปิดธุรกิจค่ายเพลง ค่ายหนัง และโปรเจกต์อื่นๆ ที่เคยหว่านไว้เพียงเพื่อความสำเร็จทางชื่อเสียงและเงินทอง
และตัดสินใจเลือกโฟกัสเพียง 3 สิ่ง นั่นคือ ครอบครัว งานการกุศล และการแสดง
แม็คคอนาเฮย์ ยอมรับว่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างล้นมือมากจนเกินไปประหนึ่งเหมือนเรียนหลายวิชาพร้อมกันในโรงเรียน “พอตัด 5 วิชาออก แล้วกลับมาโฟกัสแค่ 3 วิชา ผมถึงเริ่มได้เกรด A บ้าง”
หลังจากที่รับทุกโอกาสที่เข้ามาและเริ่มตัดมันออก วันนั้นก็มาถึง วันที่เขาต้องเลือกระหว่างหนังสองเรื่องอย่าง “Magnum, P.I.” (นำกลับมาทำซ้ำ) ที่เสนอค่าตัวถึง 15 ล้านเหรียญ (525 ล้านบาท) กับบทบาทของคาวบอยในเรื่อง “Dallas Buyers Club” ที่ได้เงินเพียง 200,000 เหรียญ (7 ล้านบาท)
เขาปฏิเสธบทร้อยล้าน เพื่อไปเล่นบทตัวละครรายได้หลักล้านที่เขาสนใจมากกว่าแบบแทบจะไม่ต้องคิดมาก และบทบาทที่เขาเลือกเองก็ทำให้เขาคว้าตำแหน่งนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำในปี 2014 ได้ในที่สุด 🏆
[ ความสำเร็จสามารถนำไปสู่การทำเงินได้มาก แต่เขากลับบอกว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน ]
ปัจจุบัน แม็คคอนาเฮย์ ในวัย 55 ปี ได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจในพอดแคสต์ Modern Wisdom เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง ‘เงินและความสำเร็จ’ เขามองว่าความสำเร็จในสายตาของคนทั่วไปมักวัดกันที่เงินและชื่อเสียง โดยคนที่มีมากกว่ามักจะถูกมองว่าเป็นผู้ชนะ อย่างไรก็ตาม สำหรับเขาแล้ว “กำไร” ที่แท้จริง คือสิ่งที่มอบคุณค่ากลับมาสู่ชีวิต มากกว่าเพียงตัวเลขในบัญชีธนาคาร
“ผมรักเงินนะ เห็นด้วยเต็มที่ แต่ผมก็ได้เห็นคนจำนวนมากที่ไล่ตามหาเงินเพื่อเติมเต็มความสำเร็จและตัวตน แต่กลับไม่ได้กำไรอะไรเลยในชีวิตจริง” เขากล่าวเสริมว่า คนเหล่านั้นมักใช้ชีวิตด้วยความสับสน ไม่มีความสัมพันธ์หรือเป้าหมายชัดเจน
“พวกเขาสับสน หลงทาง ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีจุดมุ่งหมาย เพียงแค่ไล่ตามเงิน พวกเขาเก่งในเรื่องนี้นะ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเก่งอะไร เพียงแค่เป็นนักต่อรองที่ดีและตัดสินใจถูกต้อง”
🔚 สรุป เรื่องราวของแม็คคอนาเฮย์สอนให้เราเข้าใจว่า ชีวิตไม่ได้มีเป้าหมายแค่การหาเงินอย่างเดียว แต่คือการหาเงินเพื่อไปให้ถึงจุดที่มั่นคงพอ แล้วเริ่มมองหาสิ่งที่เติมเต็มชีวิตอย่างแท้จริงจากภายใน เขาเลือกที่จะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์ แม้จะให้รายได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเลิกแสดงหนังโรแมนติกคอมเมดี้ การปิดบริษัทบันเทิง หรือแม้แต่การปฏิเสธข้อเสนอมูลค่ามหาศาล ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มาจากการใช้ชีวิตในแบบที่ตอบโจทย์หัวใจตัวเองมากที่สุด
“ผมสนุกกับงานพวกนั้น รายได้ก็ดี แต่ไม่แน่ใจว่าผมอยากทำอีกหรือเปล่า ผมตัดสินใจหยุดรอ และต้องอดทน มีข้อเสนอพร้อมเช็คเงินก้อนโตเข้ามา แต่ผมปฏิเสธไป เพราะอยากหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ” เขากล่าวถึงการเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตของเขามากกว่าแค่เงิน
และเมื่อมีคนถามเขาเกี่ยวกับเรื่องเงิน เขาก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่าเขาไม่เสียใจเลยที่ไม่มีเงินมากกว่านี้ในธนาคาร
“ถ้าถามผมว่า ผมจะมีความสุขน้อยลงไหมถ้ามีเงินเพียง 1/50 ของที่ผมมีตอนนี้? ผมตอบได้เลยว่า ไม่มีทางที่จะมีความสุขน้อยลง เพราะเงินไม่ใช่คำตอบของคุณภาพชีวิตที่ดีเสมอไป”
#aomMONEY #MatthewMcConaughey #คนดังกับการเงิน
โฆษณา