19 พ.ย. เวลา 14:18 • ปรัชญา

บันทึกการเดินทาง : เงือกทอง และเสียงกระซิบแห่งสมิหลา

ณ ริมทะเลสงขลา วันนั้นฟ้าสีครามเข้มคลุมท้องฟ้า ก้อนเมฆลอยเอื่อยอย่างไร้จุดหมาย ฉันเดินเท้าเปล่าลงบนทรายละเอียดของหาดสมิหลา ทุกย่างก้าวสัมผัสกับทรายอุ่นที่ล้อกับคลื่นน้ำทะเลเบา ๆ ราวกับธรรมชาติกำลังปลอบโยนจิตใจ
เงือกทอง ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เธอดูสง่างามในท่าหวีผมบนโขดหิน ฉันหยุดมองเธอราวกับจ้องมองตัวตนที่ซ่อนอยู่ในตำนาน ลมทะเลพัดกลิ่นเกลือโชยเบา ๆ ฉันลองจินตนาการถึง "ปลัดชาญ" ผู้ที่สร้างสรรค์เธอขึ้นมาจากแรงบันดาลใจในวัยเยาว์ กับ "อาจารย์จิตร บัวบุศย์" ผู้มอบชีวิตผ่านรูปปั้นอันแสนคลาสสิกชิ้นนี้
เสียงของคลื่นทะเลไม่ได้แค่กระทบโขดหิน แต่เหมือนเสียงกระซิบของอดีต บอกเล่าถึงเรื่องราวของชาวประมงผู้เคยพบเงือกในคืนที่พระจันทร์ฉายแสง หรือเรื่องหวีทองคำที่นางเงือกทำหล่นไว้ ฉันสัมผัสได้ถึงความรักและความโหยหาที่ซ่อนอยู่ในตำนานนั้น
ฉันนั่งลงใกล้ ๆ กับรูปปั้น ปล่อยให้ความสงบของสถานที่ซึมซับเข้าในหัวใจ สายตาของเงือกทองดูเหมือนกำลังมองออกไปในทะเลไกลโพ้น เธออาจกำลังรอใครสักคน หรืออาจเพียงแค่มองหาวันคืนเก่าที่ไม่มีวันกลับมา
ที่นี่ไม่ใช่แค่หาดทรายหรือทะเล แต่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างตำนาน วัฒนธรรม และหัวใจของผู้คน ทุกคนที่มาเยือนเหมือนถูกดึงดูดให้หลอมรวมกับสถานที่แห่งนี้ เงือกทองอาจไม่มีชีวิต แต่ความสง่างามและเรื่องเล่าของเธอทำให้เธอมีตัวตนในจิตวิญญาณของทุกคนที่ได้พบเจอ
เมื่อเดินกลับ ฉันหันมองเธออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำในใจ “ขอบคุณเงือกทอง ที่มอบทั้งแรงบันดาลใจและความเงียบสงบให้กับใจที่เหนื่อยล้า”
บันทึกนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่คือจิตวิญญาณของสถานที่ที่บรรจุไว้ในคำเรียบง่าย ที่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้รับรู้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างเช่นกัน
คุณล่ะ?
ในความคิดของคุณ ตำนานนางเงือกมีความหมายอย่างไรในเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ?
ถ้าคุณได้พบเงือกทอง คุณอยากจะถามหรือบอกอะไรกับเธอ?
ปลายดาวอินฟินิตี้
โฆษณา