เมื่อวาน เวลา 05:48 • ประวัติศาสตร์

ความโหดร้ายในป่าลึกของออสเตรเลีย ค.ศ.2003 (พ.ศ.2546)

พื้นที่แถบภาคเหนือของประเทศออสเตรเลีย เป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้หนาทึบ สัตว์ป่าชุกชุม
2
ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2003 (พ.ศ.2546) ชายหนุ่มสามคนจากเมืองดาร์วิน เมืองซึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของออสเตรเลีย ได้ออกไปผจญภัยในป่าอย่างสนุกสนาน
หากแต่ความสนุกนี้จะกลายเป็นความสยองที่ชายหนุ่มทั้งสามจะไม่มีวันลืมไปได้เลยตลอดชีวิต
เรื่องราวเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
“เบรตต์ แมนน์ (Brett Mann)” วัย 22 ปี และเพื่อนตั้งแต่วัยเด็กอีกสองคน นั่นคือ ”ชอน โบลเวอร์ส (Shaun Blowers)” และ “แอชลีย์ แม็คกาวฟ์ (Ashley McGough)” วัย 19 ปี
ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2003 (พ.ศ.2546) เด็กหนุ่มทั้งสามได้ตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวยังป่าซึ่งตั้งห่างจากเมืองดาร์วินประมาณ 80 กิโลเมตร ซึ่งที่นี่คือที่ราบกว้างใหญ่ สามารถขี่จักรยานเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน
ป่าในบริเวณนี้นั้นรกทึบ เต็มไปด้วยสัตว์ป่า
ชอน โบลเวอร์ส (Shaun Blowers) และ แอชลีย์ แม็คกาวฟ์ (Ashley McGough)
หลังจากขับรถมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดก็มาถึงจุดหมาย และชายหนุ่มทั้งสามก็จัดการเอารถจักรยานออกมาจากรถบรรทุกที่ขับมา และขับขี่จักรยานเล่นกันอย่างสนุกสนาน
แต่เมื่อถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ชายหนุ่มทั้งสามก็เก็บของ เตรียมตัวกลับบ้าน หากแต่หนึ่งในสามก็ได้แนะนำว่าควรจะไปล้างตัวยัง “แม่น้ำฟินนิสส์ (Finnniss River)” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ซะก่อน
ไม่มีใครค้านอะไร หากแต่นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดและต้องจำไปตลอดชีวิต
แม่น้ำฟินนิสส์ (Finniss River)
แม่น้ำฟินนิสส์ เป็นแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 48 กิโลเมตร ไหลตัดเข้ามาในป่าลึกทางภาคเหนือของออสเตรเลีย และแม่น้ำก็มีสีเข้ม ทำให้มองลงไปได้ยาก
หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับดินแดนแถบนี้ ย่อมทราบดีว่าแม่น้ำฟินนิสส์นั้นอันตราย และความตายก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ชาวออสเตรเลียต่างทราบกันดีว่าการลงว่ายน้ำในดินแดนแถบนี้นั้นอันตรายมาก โดยแม่น้ำฟินนิสส์และแม่น้ำในป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมาย ทั้งงูพิษ แมงกะพรุนสาหร่าย รวมทั้งจระเข้น้ำเค็ม
จระเข้น้ำเค็มนั้นสามารถมีความยาวได้ถึงเจ็ดเมตร และมีนิสัยดุร้าย เป็นจระเข้ที่ไล่ล่ามนุษย์ เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้าน
เด็กหนุ่มทั้งสามก็ทราบดี หากแต่ก็ไม่หวั่นเกรง เนื่องจากทั้งสามก็เติบโตมาในภาคเหนือ และเคยว่ายน้ำในแม่น้ำฟินนิสส์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ชายหนุ่มทั้งสามบุกผ่านเข้าไปในป่าโกงกาง และก็ได้มาล้างตัวที่แม่น้ำ
พื้นน้ำนั้นซ่อนอยู่ใต้น้ำสีเข้ม ทำให้ดูไม่ออกว่าพื้นน้ำนี้จะไปสิ้นสุดที่จุดไหน
ทันใด หนึ่งในสามก็เกิดลื่นและไถลไปตามฝั่งของแม่น้ำ ก่อนจะคว้าต้นโกงกางไว้ได้ และต่างก็หัวเราะขบขันกันอย่างสนุกสนาน
ชายหนุ่มทั้งสามแช่ตัวในน้ำ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็จับต้นโกงกางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กระแสน้ำที่เชี่ยวกราดพัดพาตัวไป ซึ่งในทีแรก ทุกอย่างก็ปกติ ก่อนที่หายนะกำลังจะคืบคลานเข้ามา
แมนน์นั้นเกิดมือลื่น และปล่อยมือจากต้นโกงกาง ทำให้ไหลไปตามแม่น้ำที่เชี่ยวกราก
โบลเวอร์สและแม็คกาวฟ์ก็ไม่รอช้า ต่างพุ่งลงไปในน้ำเพื่อช่วยเหลือเพื่อนกลับขึ้นฝั่ง โดยชายหนุ่มทั้งสามนั้นว่ายน้ำแข็ง และก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
หากแต่กระแสน้ำนั้นรุนแรงกว่าที่คิด แต่ทั้งคู่ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถกลับขึ้นฝั่งได้ กำลังใจของทั้งคู่ยังดีอยู่
เบรตต์ แมนน์ (Brett Mann)
แต่กระแสน้ำนั้นรุนแรงจริงๆ พัดพาร่างของชายหนุ่มทั้งสามออกไปไกลและเร็วเกินคาด ทำให้ชายหนุ่มเริ่มตระหนักแล้วว่าการกลับขึ้นฝั่งอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
ชายหนุ่มทั้งสามพยายามมองหาสิ่งที่จะยึดเกาะ และขณะที่ทั้งคู่ถูกพัดไปตามกระแสน้ำ อยู่ๆ แม็คกาวฟ์ก็ตะโกนด้วยเสียงที่ดังและตกใจสุดขีด
“ฉันเห็นอะไรบางอย่าง เราต้องรีบออกจากน้ำ”
โบลเวอร์สไม่สนใจจะหันไปดูว่าแม็คกาวฟ์เห็นอะไร ความหวาดกลัวแล่นผ่านสมองของเขา เขาจึงรีบว่ายน้ำไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด รีบขึ้นจากแม่น้ำให้เร็วที่สุด
โบลเวอร์สคว้าต้นโกงกางที่ขึ้นอยู่กลางแม่น้ำได้ และพยุงตัวเองขึ้นสู่กิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เหนือน้ำประมาณหกฟุต (183 เซนติเมตร) และช่วยแม็คกาวฟ์ขึ้นมาบนกิ่งไม้เช่นกัน
แต่เมื่อทั้งคู่หันไปมองหาแมนน์ ปรากฎว่าแมนน์นั้นหายไปแล้ว
ชายหนุ่มทั้งคู่มองไปทั่วแม่น้ำ ตะโกนเรียกแมนน์
หรือว่ากระแสน้ำจะพัดพาแมนน์ไปไกลแล้ว?
หรือว่าแมนน์จะขึ้นบนต้นไม้ต้นอื่น?
เสียงตะโกนเรียกของเด็กหนุ่มทั้งคู่ดังก้องไปทั่วแม่น้ำ หากแต่ไม่มีเสียงตอบรับ
1
แต่แล้วหางตาของโบลเวอร์สก็เห็นอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นมีสีเหลือง
นั่นคือเสื้อแจ็คเก็ตของแมนน์
และอยู่ๆ ร่างของแมนน์ก็โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำ หากแต่ไม่ได้ขึ้นมาเพียงลำพัง แต่ขึ้นมาในสภาพที่อยู่ในปากของจระเข้น้ำเค็มที่มีความยาวกว่า 13 ฟุต (ประมาณ 4 เมตร)
ชายหนุ่มทั้งคู่ตกใจสุดขีด หากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองเพื่อนรักอยู่ในปากของจระเข้
เจ้าจระเข้ก็จ้องมายังชายหนุ่มทั้งสอง ท้าทายให้ทั้งคู่ลงมาในน้ำ
จระเข้ตัวนี้ว่ายวนอยู่เป็นเวลากว่าสองนาที ก่อนจะดำกลับลงไปในแม่น้ำพร้อมกับร่างของแมนน์ ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองบนต้นไม้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
โบลเวอร์สและแม็คกาวฟ์รีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ให้สูงขึ้น ตั้งใจจะอยู่ห่างจากผืนน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง ทั้งคู่เกาะต้นไม้ไว้แน่นสุดชีวิต ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
ทั้งคู่ทราบดีว่าหากพวกตนหายตัวไปนานขนาดนี้ ครอบครัวก็คงจะต้องแจ้งตำรวจ และการค้นหาก็จะเริ่มขึ้น แต่ต้องใช้เวลานานเท่าไรล่ะทีมค้นหาจึงจะพบเจอพวกตนสองคน? จะให้ทั้งคู่เกาะอยู่บนต้นไม้ตลอดไปก็คงเป็นไปไม่ได้ หากทั้งคู่เพลียมากๆ แล้วเผลอหลับแล้วเกิดหล่นลงไปในน้ำล่ะ?
และราวกับจะย้ำเตือนชายหนุ่มทั้งสองว่าตนยังไม่ได้ไปไหน จระเข้ตัวเดิมก็ได้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง และว่ายวนรอบต้นไม้ที่ชายหนุ่มทั้งสองอยู่ จ้องมองมายังชายหนุ่มทั้งสองอย่างไม่วางตา
จากนั้น จระเข้ก็ดำลงไปในน้ำ และผุดขึ้นมาอีกเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะเล่นสงครามจิตวิทยา ปั่นหัวชายหนุ่มทั้งสอง
เวลาผ่านไปนานจนถึงยามค่ำคืน ชายหนุ่มทั้งคู่มองไม่เห็นจระเข้อีกแล้ว หากแต่ยังคงได้ยินเสียงของมันอยู่ ทำให้ชายหนุ่มทั้งคู่ทราบว่ามันยังคงไม่ไปไหน
หลังจากเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนไปได้ไม่เท่าไร ประสบการณ์เฉียดตายก็ได้มาเยือนอีกครั้ง
ขณะที่โบลเวอร์สพยายามจะปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม เขาก็พลาดท่า ตกลงไปในแม่น้ำ
โบลเวอร์สไม่รอช้า รีบว่ายกลับขึ้นมาบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว และเป็นโชคดีของเขา ดวงของเขายังไม่ถึงฆาต โบลเวอร์สสามารถปีนกลับต้นไม้ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่จระเข้ว่ายน้ำกลับมายังโคนต้นไม้พอดี และว่ายวนรอบๆ ต้นไม้ เฝ้ารอโอกาสใหม่
เมื่อเวลาเช้ามาถึง ชายหนุ่มทั้งสองก็อยู่ในสภาพที่อิดโรย เหนื่อยล้า และเหน็บหนาว แต่ยังคงมีชีวิตอยู่
เบื้องล่างนั้น จระเข้ก็ยังคงว่ายวนรอบๆ ต้นไม้ ไม่ยอมไปไหน
แต่แล้ว เวลา 10:00 น. ความช่วยเหลือก็มาถึง
มีเสียงเรียกมาจากป่าโกงกาง ซึ่งผู้ที่มาก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจกับครอบครัวของพวกเขา โดยเจ้าหน้าที่พบรถบรรทุกของพวกเขา และได้แกะรอยจนมาพบชายหนุ่มทั้งคู่เกาะอยู่บนต้นโกงกาง
เฮลิคอปเตอร์ได้บินมาเพื่อช่วยเหลือชายหนุ่มทั้งคู่ หากแต่แรงจากใบพัดก็เกือบทำให้ชายหนุ่มทั้งสองกระเด็นตกจากต้นไม้ ทำให้การช่วยเหลือด้วยเฮลิคอปเตอร์ต้องยกเลิกไป และต้องใช้เรือชูชีพเข้าช่วยเหลือชายหนุ่มทั้งสองและไล่จระเข้ออกไปแทน
หลังจากปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มทั้งคู่ก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และถึงแม้จะมีการตามหาร่างของแมนน์อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่เคยมีใครพบร่างของแมนน์และจระเข้ที่ฆ่าเขาเลย
และแน่นอน โบลเวอร์สและแม็คกาวฟ์นั้นจะต้องจำเหตุการณ์นี้ไม่ลืมเลยตลอดชีวิต มีบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ
และนี่ก็คือประสบการณ์เฉียดตายที่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของป่าลึก และความจริงที่ว่า ความตายนั้นมีอยู่ทุกที่ในป่า
1
โฆษณา