Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Wealthy Thai
•
ติดตาม
20 พ.ย. เวลา 10:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
3 กองทุน “หุ้นเทคฯ-หุ้นสหรัฐ-หุ้นโลก”... เด้งแรงโชว์ผลตอบแทนสูงสุด หลัง “Trump” ชนะเลือกตั้ง !!!
Fun of Funds: “หุ้นสหรัฐ” ที่ผลงานดีมาหลายปีจนตลาดถูกมองว่า “แพง” ไปหรือยัง? แต่หลังหลังจากที่ “Donald Trump” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐ อีกสมัย
รวมถึงการที่ “พรรครีพับลิกัน” (Republican Party) สามารถครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาได้อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี
ภายใต้นโยบายหลักของ “Trump” ในเรื่อง “Make America Great Again” ที่ยึดผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นที่ตั้ง ทำให้เรดาห์การลงทุนจับมาที่ “ตลาดหุ้นสหรัฐ” อีกครั้ง และส่งผลให้ “หุ้นสหรัฐ” ปรับตัวขึ้นทำ “จุดสูงสุดใหม่” (New High) อีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดเล็ก รวมถึงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากนโยบายหลักในด้านต่างๆ ทั้งการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล, การผ่อนคลายกฎระเบียบที่เข้มงวดต่างๆ, การสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิง เป็นต้น เรียกว่า เป็นตลาดที่ “ไม่มีวันตาย” (Never Die) จริงๆ
ล่าสุด 2 สถาบันการเงินชั้นนำของโลก ทั้ง “Morgan Stanley” และ “Goldman Sachs” ต่างคาดการณ์เป้าหมายดัชนี “S&P500” สิ้นปี25 ไว้ที่ 6,500 จุด
ท่าทีของตลาด “กองทุนรวม” เป็นยังไง หลังการมาของ “Trump 2.0” ตามทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthy Thai’ ไปอัพเดทพร้อมๆ กันได้เลย
3 กองทุน “หุ้นเทคฯ-หุ้นสหรัฐ-หุ้นโลก”...โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดช่วง 1 สัปดาห์ หลัง “Trump” ชนะเลือกตั้ง
จากข้อมูลของ “บจ.มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)” ระบุผ่านรายงานว่า สำหรับตลาดกองทุนรวมของไทย ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์นับตั้งแต่ผลการเลือกเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. 24 “กองทุนหุ้นเทคโนโลยี”, “กองทุนหุ้นสหรัฐ” และ “กองทุนหุ้นทั่วโลก” นับเป็นกองทุน “3 อันดับแรก” ที่มีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น “สูงสุด” เฉลี่ย 7.01%, 6.22% และ 2.52% ตามลำดับ
ทั้งนี้ “กองทุนหุ้นเทคโนโลยี” ที่มีผลตอบแทนสูงสุด 3 อันดับแรกล้วนเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ทั้งหมด นำโดย “ASP-DIGIBLOC”, “SCBBLOC” และ “LHGBLOCK” ที่มีผลตอบแทนประมาณ 21%
ด้าน “กองทุนหุ้นสหรัฐ” ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงสุด 3 อันดับแรก เป็นกองทุนประเภท Active fund หรือการลงทุนเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง และเน้นลงทุนในหุ้นเติบโต ได้แก่ “SCBUSA”, “KFINNO” และ “ES-GINNO” โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 16%
ส่วน “กองทุนหุ้นโลก” นั้น ถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนจะบวกเพียง 2.5% แต่กองทุนสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นไม่แพ้กันกับกองทุนใน 2 กลุ่มแรก นำโดย “LHINNO” ที่ 16% ส่วน “DAOL-INNOVA” และ “ONE-UGG” มีผลตอบแทนประมาณ 7% ทั้งสองกองทุน ซึ่งล้วนเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเติบโตเช่นกัน
“ในทางตรงกันข้าม กลุ่มกองทุน 3 อันดับแรกที่มีผลตอบแทนปรับตัว ‘ลดลงมากที่สุด’ ได้แก่ กลุ่ม ‘Country Focus Equity’, ‘กองทุนน้ำมัน’ และ ‘กองทุนทองคำ’ โดยปรับตัวลดลงประมาณ -4% ใกล้เคียงกันทั้ง 3 ประเภทกองทุน โดยในกลุ่ม Country Focus Equity นั้น กองทุนที่มีผลตอบแทนปรับตัวลดลงมากที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่เกี่ยวข้องกับหุ้นเกาหลี”
เปิด 5 กองทุน เงินไหลเข้ามากสุดช่วง 1 สัปดาห์หลัง “Trump” ชนะเลือกตั้ง
แม้ว่ากลุ่ม “กองทุนหุ้นเทคโนโลยี” จะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนสูงสุด แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีเงินไหลออกสูงที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีเงินไหลออกเกือบ -2.0 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่เกี่ยวกับ AI, Semiconductor และ Cloud Computing โดยมี “KT-WTAI-A” เป็นกองทุนที่มีเงินไหลออกสูงสุด -637 ล้านบาท
ด้าน “กองทุนหุ้นสหรัฐ” มีเงินไหลเข้าราว 267 ล้านบาท แม้ว่ากองทุนประเภท Active fund จะมีผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่ม แต่กองทุนที่มีเงินไหลเข้ามากที่สุดนั้นกลับเป็นกองทุนประเภท Passive หรือกองทุนที่มีกลยุทธ์อ้างอิงตามดัชนี ถึง 4 กองทุนจาก 5 อันดับแรก
“ในทางกลับกัน กองทุน ‘5 อันดับแรก’ ที่มีเงินไหลออกสูงสุดล้วนเป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ซึ่งมีทั้งที่เน้นการลงทุนในหุ้นเติบโต และหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งการไหลออกของเงินลงทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการขายทำกำไรหลังจากที่ผลการดำเนินงานปรับตัวขึ้นมามาก”
ทางด้าน “กองทุนหุ้นโลก” มีเงินไหลเข้าเป็นบวกเล็กน้อย ประมาณ 162 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงซื้อในกลุ่มกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเติบโต
“เราจะเห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นกระทบกับโลกการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยด้านการเมืองไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในข้างต้น และระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์อาจเป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินไปที่จะระบุได้ว่าทิศทางการลงทุนดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในระยะยาวหรือไม่ โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของบางสินทรัพย์อาจเป็นแรงเก็งกำไรของนักลงทุนในระยะสั้น หรือแรงขายที่เกิดขึ้นในบางกลุ่มก็อาจเป็นแค่เพียงการขายทำกำไร ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง”
ดังนั้นนักลงทุนจึงควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ เพื่อประเมินว่าการลงทุนของเรายังเป็นไปตามสมมติฐานหรือปัจจัยพื้นฐานที่เราได้ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ต้นหรือไม่ โดยไม่ให้อารมณ์ของตลาดหรือปัจจัยในระยะสั้นมาเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนนั่นเอง
การลงทุน
กองทุน
เศรษฐกิจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย