เมื่อวาน เวลา 11:00 • การเกษตร

‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ผลไม้ไทยรายแรกได้รับการขึ้นทะเบียน GI ใน ‘ญี่ปุ่น’

☝️Click >> ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ผลไม้ไทยรายแรก ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น และเป็นสินค้าเกษตรรายการที่ 3 ต่อจากกาแฟดอยช้างและดอยตุง
🔎Clear >> ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ เป็นผลไม้ไทยรายแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นสินค้าเกษตรรายการที่ 3 ได้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI จากกาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง ภายใต้ความร่วมมือแลกเปลี่ยนการขึ้นทะเบียน GI 3 + 3
สำหรับ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เกิดจากชาวบ้านได้นำสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียมาปลูกใน ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด แล้วเกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลให้มีเอกลักษณะเด่นเรื่องของเนื้อสีน้ำผึ้งที่หนาและนุ่ม รสชาติหวาน พร้อมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้เป็นที่ต้องการสำหรับผู้บริโภคญี่ปุ่น
โดยประเทศไทยมีผู้ประกอบการมากกว่า 850 ราย ที่กำลังการผลิตกว่า 180,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 1,200 ล้านบาท
โดยทางรัฐบาลมั่นใจการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นการเริ่มต้นเพื่อยกระดับและพัฒนาการประกันคุณภาพให้กับสินค้า ช่วยให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นได้มั่นใจ เพิ่มการบริโภค สับปะรดห้วยมุ่น มากขึ้น
ทานด้าน ‘กรมทรัพย์สินทางปัญญา’ เร่งเดินหน้าสานต่อความร่วมมือเพื่อขยายตลาดการค้า การขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในรายการใหม่ ๆ ร่วมทั้งความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ร่วม ระหว่างประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาการทำตลาดกลางสินค้าเกษตร ขยายตลาดผักผลไม้ไทยสู่ญี่ปุ่นให้ได้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากสินค้าด้านการเกษตรสับปะรดสด ที่ได้รับความนิยมแก่ผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐบาลยังได้พบว่า ตลาดการนำเข้าสับปะรดของประเทศญี่ปุ่นยังมีความต้องการสับปะรดแปรรูปสูงเช่นเดียวกัน เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกระป๋อง และสับปะรดอบแห้ง
โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญในการส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับ 4 รองจากฟิลิปปินส์ คอสตาริกา และอินโดนีเซีย ซึ่งประเทศไทยจะสามารถนำเอาประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ในการลดภาษีนำเข้า เพื่อเพิ่มความได้เปรียบให้กับการส่งออกสับปะรดของประเทศได้
ที่มา: posttoday / thaigov
โฆษณา