เมื่อวาน เวลา 12:34 • ธุรกิจ

ส่องสวีเดนโมเดล ต้นแบบโลกจัดการขยะ ตั้งเป้าเป็นประเทศไร้เชื้อเพลิงฟอสซิล 100%

ส่องแนวคิด “สวีเดนโมเดล” ต้นแบบของโลกด้านการจัดการขยะ มุ่งเป้าสุดหิน 100% Fossil Fuel-Free! รับความท้าทายเป็นประเทศแรกของโลก สู่โอกาสของไทยในการพลิกฟื้น e-Waste
“ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเสีย หากสิ่งนั้นอยู่ในที่ที่เหมาะสม” หลักการที่ “สวีเดน” หนึ่งในประเทศที่มีระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก นำมาใช้อย่างจริงจังทั้งในระดับนโยบาย กฎหมาย ตลอดจนการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทำให้สวีเดนเป็นประเทศที่แทบจะปราศจากขยะ
สวีเดน เป็นประเทศแรกของโลกที่ผ่านพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1967 ปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ภายในประเทศสวีเดนมากกว่า 60% กำเนิดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และสวีเดนมีเป้าหมายที่จะเป็นประเทศไร้เชื้อเพลิงฟอสซิล 100% (fossil-free)
ภายในปี 2045 ภายใต้นโยบายและกฎระเบียบที่เคร่งครัดและครอบคลุมหลากหลายมิติ อาทิ กรอบการทำงานด้านการพัฒนาแบบยั่งยืน ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ ภาษีการฝังกลบขยะ และกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถรักษามาตรฐานระดับสูงในการบริหารจัดการขยะ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ดึง “ผู้ผลิต- ผู้นำเข้า- ผู้จำหน่าย” ร่วมรับผิดชอบ
หนึ่งในแนวทางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศสวีเดนที่ใช้มาแล้วกว่า 20 ปี คือ การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบ (Extended Producer Responsibility – EPR)
อันนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ล้วนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมไปถึงการเก็บกลับ รีไซเคิล และการกำจัด ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังผลักดันให้องค์กรต่างๆ คิดค้นนวัตกรรมและออกแบบผลิตภัณฑ์ด้วยความตระหนักถึงการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่และความยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy
ป้องกันการเกิดของเสีย ด่านแรกที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืน
สวีเดนมีลำดับขั้นในการจัดการขยะ โดยมุ่งเน้นทั้ง การลดการเกิดของเสีย และเพิ่มการใช้วัสดุซ้ำและรีไซเคิล ซึ่งสิ่งสำคัญอันดับแรก คือ การป้องกัน (Prevention) ด้วยการลดปริมาณการเกิดของเสีย ซึ่งอาจทำได้ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้ทรัพยากรน้อย แต่ใช้งานได้นาน รวมถึงส่งเสริมกระบวนการผลิตและรูปแบบการใช้งานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ลำดับต่อมาคือ การใช้ซ้ำ (Reuse) ซึ่งรวมถึงการซ่อมแซม และปรับปรุงเพื่อยืดอายุการใช้งาน จากนั้นจะเข้าสู่ลำดับของ การรีไซเคิลวัสดุ (Material Recycling) โดยนำวัสดุหรือวัตถุดิบจากของเสีย กลับมาผลิตเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ แต่หากของเสียนั้นนำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการนำไป สกัดเป็นพลังงานจากขยะ (Energy Recovery) เพื่อลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบ และเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานหมุนเวียน และสุดท้ายคือ การฝังกลบ (Landfill) ซึ่งต้องพิจารณาให้เหลือน้อยที่สุด
ทั้งนี้ ในปี 2023 ที่ผ่านมา สวีเดนมีของเสียและขยะชิ้นใหญ่ราว 1.6 ล้านตัน แต่ด้วยความสามารถและความเคร่งครัดในการจัดการขยะ ทำให้สามารถนำวัสดุจากขยะไปรีไซเคิลได้ถึง 40% ส่วนอีก 56% นำไปสกัดเป็นพลังงานหมุนเวียน เหลือเป็นขยะฝังกลบเพียง 4% เท่านั้น
ติดตามอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์
โฆษณา