21 พ.ย. เวลา 07:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

มหากาพย์อีพิค The Brutalist ยาว 3.5 ชม. ถ่ายบนฟิล์ม VistaVision 70 มม. และมีทุนสร้าง $10 ล้านเหรียญ

ในแทบทุกปีหลังสิ้นงานออสก้าร์ จะมีการเก็งถึงตัวเต็งในปีถัดไป และในรายชื่อเหล่านั้น ก็จะปรากฎซึ่งเหล่าหนังโดยผู้กำกับ ฯ ที่ถูกจับตาไว้ ตั้งแต่ประกาศสร้างโครงการ และเวลาก็จะค่อย ๆ ตัดสินผ่านกระแส คำวิจารณ์ รวมถึงคุณค่าที่หลงเหลือหลังหนังเหล่านั้นเข้าฉายในเทศกาล ซึ่งปีนี้ หนังที่เป็นที่เตะตะ ตั้งแต่ถูกเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส และได้รับการคาดหมาย ว่าจะเป็นตัวเต็งบนเวทีออสก้าร์ คือหนังมหากาพย์ประวัติศาสตร์ของผู้กำกับ ฯ เบรดี้ คอร์เบ็ต (“Vox Lux”) อย่าง “The Brutalist”
ซึ่ง “The Brutalist” เอง ก็มาพร้อมความยาวปานมหากาพย์ถึง 215 นาที (3.5 ชั่วโมง) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของสถาปนิกในยุโรป ที่อพยพไฟสงคราม มาก่อร่างสร้างฝันอเมริกันในรัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาของหนังก็เยอทะยานไม่แพ้กัน
เพราะจากบทสัมภาษณ์ที่ทางผู้กำกับ ฯ เบรดี้ คอร์เบ็ต ได้ให้ไว้กับทาง Variety ก็เปิดเผยว่า “The Brutalist” ซึ่งถูกถ่ายทำลงบนฟิล์ม VistaVision ฟิล์มขนาดใหญ่ ซึ่งถูกพัฒนาโดย Paramount ในปี 1954 และถือเป็นตัวทดลองที่จะกลายมาเป็นฟิล์มระบบ IMAX 70 มม. ในภายหลังนั้น มาพร้อมทุนสร้างเพียง $10 ล้านเหรียญเท่านั้น และแม้มันจะดูท้าทายมาก แต่ คอร์เบ็ต ก็เปรยว่า เขาพึงพอใจกับทุนสร้างเพียงเท่านี้ เพราะมันทำให้เขามีสิทธิสร้างสรรค์ผลงานในแบบที่เขาพึงพอใจ
"เราประหยัดค่าใช้จ่ายทุกทางที่เราทำได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะไปปรากฎบนจอหนัง ซึ่งมันเป็นวิถีที่มานะบากบั่นมาก และผมคงไม่แนะนำให้ใครทำแบบนี้ เพราะมันคือเวลาปีแล้วปีเล่า ที่คุณทำงานให้แบบฟรี ๆ"
“ผมไม่เคยคิด ‘ผมหวังจะมีทุนอีกสัก $30 ล้านเหรียญ’ เลยด้วยซ้ำ เพราะยิ่งงบเพิ่มขึ้น สายป่านก็มากขึ้น มันนำพามาซึ่งความคิดเห็นมากมาย คุณจะเจอกับพวกผู้บริหารที่ไม่ไว้ใจผู้กำกับฯ และจัดการฝังพวกเขาผ่านบันทึกข้อความ สิ่งที่คุณจะได้คือ ยาฆ่าเชื้อสักอย่าง ที่ขาดลายเซ็นโดยสิ้นเชิง มันคือความต่างระหว่างชามของ Crate & Barrel กับถ้วยปั้นเซรามิกวาบิซาบิ” คอร์เบ็ต กล่าว
ทั้งนี้ “The Brutalist” ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของ สถาปนิกชาวฮังการี ที่หนีควันสงครามโลก มาลงหลักปักฐานในสหรัฐอเมริกา และรับงานใหญ่ในการออกแบบหอสมุดให้กับลูกชายเศรษฐี นั้น ก็มีโครงสร้างและเบื้องหลังยิ่งใหญ่ แทบไม่ต่างจากการสร้างหนังจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ
ซึ่งก่อนที่ คอร์เบ็ต จะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ฯ อยู่หลังเลนส์กล้อง เขาเองก็เคยมีประสบการณ์ในฐานะนักแสดงอย่างใน “Funny Games” ของไมเคิล ฮานาเก้ และ “Mysterious Skin” ของเกร็ก อารากิ และหลังได้เป็นผู้กำกับ ฯ เต็มตัว เขาก็ค้นพบความสัมพันธ์จากกระบวนการสร้างภาพยนตร์ ซึ่ง คอร์เบ็ต ก็ดึงเอาประสบการณ์ส่วนตัว จากการรังสรรค์ศิลปะในเชิงพาณิชย์ จนออกมาเป็นเรื่องราวใน “The Brutalist”
“มันมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เรามักทำงานให้กับลูกค้าเสมอ ซึ่งการวางโครงข่ายต่อส่วนที่เกี่ยวข้องก็ใหญ่โตมหาศาล จำนวนของผู้คน ที่ต้องมาร่วมแรงร่วมใจทำงานนั้นก็มากมาย แถมยังมีความเสี่ยงหลายอย่าง ที่คุณจำเป็นต้องตัดสินใจ ซึ่งมันก็มีสื่อไม่กี่รูปแบบ ที่คุณจะได้มีกุ๊กหลายหัวอยู่ในครัวเดียวแบบนี้”
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และศิลปิน เป็นสิ่งวิปริต แม้จะยังมีผู้สนับสนุนและนายทุนจำนวนไม่น้อย ที่ยังยึดมั่นในจริยธรรม แต่นั่นก็หาได้ยาก เพราะโดยทั่วไปแล้ว มันคือสิ่งที่คุณทุ่มเทลงไปมาก เพื่อได้ผลลัพธ์กลับมาน้อย” คอร์เบ็ต กล่าวทิ้งท้าย
“The Brutalist” บอกเล่าเรื่องราวชีวิตกว่า 30 ปีของลาซโล ท็อธ นักสถาปนิกชาวยิวสัญชาติฮังการี ที่ลี้ภัยจากการฆ่าล้างเผาพันธ์ และควันไฟของสงครามที่สิ้นสุดลง เขาตัดสินใจอพยพไปยังสหรัฐอเมริกา ร่วมกับภรรยาของเขาอย่าง เออร์เซเบธ เพื่อตามล่าฝันแบบอเมริกัน ก่อนจะเผชิญซึ่งภาวะอัตขัตและไร้ซึ่งเกียรติ ก่อนที่ ลาซโล จะได้เซ็นสัญญากับลูกค้าผู้มั่งคั่งแบบ แฮริสัน อี ฟาน บูเรน ที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“The Brutalist” กำกับโดย เบรดี้ คอร์เบ็ต (“Vox Lux”) จากบทที่เขียนร่วมกันกับ โมนา ฟาสต์โวลด์ (“The Crowded Room”) นำแสดงโดย เอเดรียน โบรดี้, เฟลิซิตี้ โจนส์, กาย เพียร์ซ, โจ อัลวิน, ราฟฟีย์ แคสซิดี้, สเตซี มาร์ติน, เอ็มมา แลร์ด, ไอแซ็ค เดอ บองโคเล และ อาเลสซานโดร นิโวลา
“The Brutalist” วางกำหนดฉายในไทย 9 มกราคม 2025
โฆษณา