21 พ.ย. เวลา 03:31 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ถึงเวลาช้อปหุ้นบิ๊กแคป รับอานิสงส์ TESG ดึงเงินไหลเข้า SET ปลายปีนี้

ช่วงปลายปีมักจะมีเม็ดเงินจากกองทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทุนประหยัดภาษี ซึ่งนอกจากจะเป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวแล้ว ผู้ลงทุนยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในวงเงินที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
ซึ่งในปีนี้กองทุนที่คาดว่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีการปรับลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี และปรับเพิ่มวงเงินลดหย่อนมากขึ้นเป็น 300,000 บาท ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าช่วงสิ้นปี 2567 จะมีแรงซื้อกองทุน TESG เพิ่มขึ้น หนุนเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยถึง 30,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นบวกต่อดัชนีแล้ว ยังเป็นบวกต่อหุ้นที่กองทุนถืออยู่อีกด้วย
โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปลายปี 2566 กองทุน TESG ที่เพิ่งเปิดขายครั้งแรก อาจไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีมากนัก แต่หลังจากที่มีมติอนุมัติการปรับปรุงเกณฑ์ลดหย่อนภาษี สำหรับการลงทุนในกองทุน TESG เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยปรับระยะเวลาการถือครองจากเดิมที่ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
อีกทั้งยังปรับเพิ่มวงเงินที่ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นเป็น 300,000 บาท จากเดิม 100,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขใหม่มีผลบังคับย้อนหลังสำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 ด้วย ในมุมมองของบล.หยวนต้า คาดว่าจะหนุนให้กองทุน TESG ได้รับความสนใจสำหรับการใช้เป็นเครื่องมือประหยัดภาษีมากขึ้น เพราะมีระยะเวลาในการลงทุนสั้นกว่า SSF และ RMF รวมถึงเป็นการลงทุนในหุ้นที่ให้ความสำคัญกับ ESG ที่คาดว่าความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจะลดลงในระยะยาว
นอกจากนี้กองทุน TESG ยังถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีรายได้สูงและต้องการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากกองทุนลดหย่อนภาษีเดิมที่จำกัดวงเงินรวมทั้ง 2 กองทุนไว้ที่ 500,000 บาทด้วย
ซึ่งทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนคาดหวังเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 30,000 ล้านบาท แต่ในมุมมองของบล.หยวนต้า คาดหวัง 15,000 ล้านบาท แม้จะไม่มากเมื่อเทียบกับกองทุน LTF ที่เฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านบาท แต่ถือว่าเร่งตัวขึ้น จากปลายปีก่อนที่ต่ำเพียง 5,200 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับการจำกัด Downside ให้กับ SET Index ในช่วงที่แรงซื้อจากวายุภักษ์เริ่มแผ่วได้
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากเม็ดเงินกองทุน TESG ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยนั้น บล.หยวนต้า แบ่งชุดหุ้นที่น่าสนใจในธีมนี้เป็น 2 กลุ่ม คือ หุ้นที่คาดว่า Passive Fund จะเข้าซื้อต่อเนื่อง เช่น DELTA, ADVANC, PTT, GULF, AOT, CPALL, PTTEP, BDMS, SCB, TRUE และหุ้นที่ได้ SET ESG Rating ระดับ AAA ที่ผลประกอบการเติบโตต่อ หรือกำลัง Turnaround เช่น KBANK, KTB, CPAXT, BGRIM, THCOM, WHA, AMATA เป็นต้น
จากข้อมูลข้างต้น Wealthy Thai จึงได้สำรวจปัจจัยพื้นฐานของ 4 หุ้นขนาดใหญ่ที่อาจเป็นเป้าหมายกองทุน TESG มาฝากนักลงทุน
มาเริ่มต้นกันที่ ADVANC บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คาดไตรมาส 4/67 ได้รับผลบวกจากช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวจำนวนมาก และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งยังได้รับผลบวกจากรับรู้ยอดขาย iPhone16 เต็มไตรมาส แต่จะถูกหักล้างบางส่วนจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่มากเป็นพิเศษในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีและค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานที่คาดจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ประเมินกำไรปี 2567 ที่ 33,641 ล้านบาท เติบโต 16% จากปีก่อน และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 12% ในปีหน้า ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 290 บาท
ถัดมา CPALL บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มไตรมาส 4/67 กำไรจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/66 และ 3/67 โดยรับปัจจัยหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโต (จากการตรวจสอบยอดขายสาขาเดิมเติบโต 2-4% ในเดือน ต.ค. สำหรับ 7-Eleven และ 1-3% สำหรับ CPAXT) และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น โดยประเมินกำไรปี 2567 ที่ 24,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.55% จากปีก่อน พร้อมให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 81 บาท
KBANK บล.หยวนต้า คาดทิศทางกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 จะโตจากไตรมาส 4/66 แต่ลดลงจากไตรมาส 3/67 เนื่องจากมีบันทึกค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการเพิ่มเข้ามา ซึ่งบางส่วนคาดจะถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายของธุรกิจประกันชีวิตที่ปรับลงจากฐานที่สูงกว่าปกติในไตรมาส 3/67 รวมถึงการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง
หลังเห็นสัญญาณบวกจากตัวเลขการขายหนี้เสียและการ Write-Off หนี้เสียที่ลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ NPL Ratio ไม่ได้ขยับขึ้นมาก สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น คาดกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 47,996 ล้านบาท โต 13.1% จากปีก่อน คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 175 บาท
และสุดท้าย WHA บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินไตรมาส 4/67 จะเป็นช่วงพีคของปีนี้จากยอดโอน 500 –600 ไร่ ด้านยอดขายที่ตั้งไว้ 2,500 ไร่น่าจะบรรลุเป้าได้ รวมถึงมีการรับรู้กําไรจากการขาย ASSET เข้ากอง REIT, ดีมานด์การย้ายฐานการผลิตยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกับ WHA ที่ยังคงหาพื้นที่นิคมฯ รองรับลูกค้าเพิ่มอีกอีกหลายหมื่นไร่
โดยระดับแบ็กล็อกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายที่ดินปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากนโยบายภาษีสุดโหดของ TRUMP ล้วนเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อ WHA ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2568 ที่ 6.90 บาท ให้คําแนะนําลงทุน Outperform
โฆษณา