5 ชั่วโมงที่แล้ว • การเมือง

สี จิ้นผิง “ขีดเส้นแดง 4 เส้น” ถึงสหรัฐฯ หลังประชุมครั้งสุดท้ายกับไบเดน

แล้วท่าทีของ “ทีมทรัมป์” เป็นอย่างไร
ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปีนี้ ไบเดนตอบโต้ทรัมป์ที่บอกกับชาวอเมริกันว่า “จีนเข้ามากินอาหารกลางวันของคุณ” ทรัมป์สื่อว่ารัฐบาลไบเดนไม่ยอมจัดการเด็ดขาดกับธุรกิจจีนที่เข้ามาในอเมริกาแย่งรายได้จากคนอเมริกัน โดยตอนนั้นไบเดนบอกว่า “เขาป้อนข้าวพวกเขามานานแล้ว” สื่อประมาณว่าจีนเข้ามาแย่งธุรกิจนานแล้วในอเมริกา ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับเขา – อ้างอิง: [1]
อย่างไรก็ตาม “สี จิ้นผิง” ก็แสดงท่าทีว่ารู้อยู่แล้วว่ายังไงประเทศจีนก็จะต้องเผชิญกับการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ไม่ว่ากรณีใด เพียงสองวันหลังจากที่รู้ผลเลือกตั้งในสหรัฐว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี จีนก็ได้มุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์จนถึงปี 2028 เนื่องจากคาดว่าจะมีมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่จากรัฐบาลทำเนียบขาวชุดใหม่ และพยายามที่จะสร้างนโยบายเพื่อความยืดหยุ่นของตนเอง - อ้างอิง: [2]
เครดิตภาพ: Ng Han Guan/AP
และในการประชุมที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขากับ “โจ ไบเดน” ที่จะลาจากตำแหน่ง เมื่อช่วง 15-16 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในเปรู สีได้คุยกับไบเดนและ “ขีดเส้นแดง 4 เส้น” ไม่ให้อเมริกาก้าวล้ำมา (อ้างอิง: [3]) คือ
  • เส้นแดงที่ 1: จีนเตือนว่าสหรัฐต้องไม่พยายามก้าวก่ายการบริหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้อ่อนแอลงโดยการบ่อนทำลายอำนาจบริหารของพรรค ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของจีนด้วย
  • เส้นแดงที่ 2: สหรัฐฯ ต้องยอมรับความชอบธรรมของระบบรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องโดยปริยายให้ยุติความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะส่งเสริมประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เช่น สิทธิของชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนา
  • เส้นแดงที่ 3: จีนเรียกร้องให้สหรัฐหลีกเลี่ยงการบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของจีนผ่านการคว่ำบาตรทางการค้าและเครื่องมืออื่นๆ ทางด้านเศรษฐกิจ (อย่าเล่นสงครามการค้ากับจีน)
  • เส้นแดงที่ 4: จีนได้ออกข้อเรียกร้องให้สหรัฐฯ ละทิ้งความพยายามใดๆ ที่จะส่งเสริมเอกราชของไต้หวัน
เมื่อตอนทรัมป์อยู่ในทำเนียบขาวสมัยแรก ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็เปลี่ยนไปจากในช่วงที่ “บารัค โอบามา” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยโอบามามีความพยายามที่จะดำเนินโครงการชื่อ Chimerica (China + America) คือความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล พับแผนไป หลังทรัมป์ได้เริ่มเข้ามาในทำเนียบขาวสมัยแรกปี 2017 แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?
แล้วทรัมป์ก็ได้เริ่ม “สงครามการค้ากับจีน” ซึ่งจบลงด้วยข้อตกลงหนึ่ง เงื่อนไขของข้อตกลงซึ่งระบุว่าจีนจะต้องซื้อสินค้าบางรายการจากสหรัฐเพื่อสร้างสมดุลทางการค้า (อ้างอิง: [4]) หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงการระบาดของโควิด-19 แผนนั้นก็ถูกพับไปอีก
จากนั้นเมื่อ “โจ ไบเดน” ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาก็ไม่ได้เรียกร้องให้จีนปฏิบัติตามข้อตกลงที่บรรลุไว้ก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่ได้ผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรที่บังคับใช้ไปแล้ว โดยเขาหวังว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนให้กลับไปสู่ระดับเดียวกับสมัยที่บารัค โอบามาเป็นประธานาธิบดี
1
แนวคิดเรื่อง Chimerica หรือการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจระหว่างสองอำนาจโลก สหรัฐ กับ จีน ในสมัยโอบามา เครดิตภาพ: Jason Reed / Reuters
เมื่อช่วงต้นปีนี้ (2024) เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่า ทรัมป์อาจลดระดับสถานะการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรเพิ่มเป็น 40% และในการสนทนาเป็นการส่วนตัวกับที่ปรึกษาของทรัมป์ได้หารือถึงความเป็นไปได้หรือชั่งน้ำหนักในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่เป็น 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย - อ้างอิง: [5]
อีกตัวอย่างที่ชัดเจนของทัศนคติต่อต้านจีนในทีมบริหารของทรัมป์ 2.0 คือ “มาร์โก รูบิโอ” ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ คือในปี 2020 จีนได้สั่งห้ามไม่ให้รูบิโอเข้าไปในประเทศและคว่ำบาตรเขาเนื่องจากเขาสนับสนุนการประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง รูบิโอเป็นลูกหลานของผู้อพยพชาวคิวบาและเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเหนียวแน่น
เพื่อเป็นการตอบโต้จีน “มาร์โก รูบิโอ” ตอนนั้นเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐฟลอริดาสนับสนุนให้สหรัฐฯ คว่ำบาตรวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่จีน และโน้มน้าวกระทรวงการต่างประเทศให้ห้ามผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปคที่ซานฟรานซิสโกในปี 2023 - อ้างอิง: [6]
มาร์โก รูบิโอ (ขวา) ตอนเป็นวุฒิสมาชิกรัฐฟลอริดา กับ โจชัว หว่อง (ซ้าย) นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง เครดิตภาพ: Facebook
ในเดือนกันยายนของปีนี้ (2024) มาร์โก รูบิโอได้เผยแพร่รายงาน 60 หน้าเรื่อง “โลกที่จีนสร้างขึ้น (The World China Made)” ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของจีนในการโจมตีปักกิ่งของวอชิงตันได้อย่างมีประสิทธิภาพ - อ้างอิง: [7]
รายงานของรูบิโอระบุว่า สหรัฐฯ ไม่สามารถนิ่งนอนใจกับคอมมิวนิสต์จีนได้ “พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมและชนชั้นแรงงานของอเมริกาอย่างแท้จริงในอีกหลายปีข้างหน้า” ตามคำกล่าวของนักการเมืองอเมริกันคนนี้ จีนคอมมิวนิสต์จะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าศัตรูคนใดที่สหรัฐฯ เคยเผชิญมาในประวัติศาสตร์ ด้วยคำพูดเหล่านี้ มาร์โก รูบิโอได้อธิบายภารกิจหลักของเขาในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เอกสารรายงานดังกล่าวตามลิงก์ด้านล่างนี้
“ไมค์ วอลท์ซ” ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังระบุว่าจีนคือ “คู่แข่งหมายเลข 1” ของสหรัฐฯ ไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา
เขาเขียนบทความลงในนิตยสาร The Economist โดยกล่าวว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จำเป็นต้องแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางโดยเร็ว จากนั้นจึงมุ่งเน้นความสนใจเชิงกลยุทธ์ไปที่ “การต่อต้านภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ตามแผนของเขา “กองทัพสหรัฐฯ จะต้องสามารถต้านทานการโจมตีไต้หวันของจีนให้ได้” - อ้างอิง: [8]
ไมค์ วอลท์ซ (กลาง) ว่าที่ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐสมัยทรัมป์ 2.0 เครดิตภาพ: The Economic Times
เรียบเรียงโดย Right Style
21st Nov 2024
  • เชิงอรรถ:
<เครดิตภาพปก: Daybreak/Getty Images>
โฆษณา