วันนี้ เวลา 05:35 • ประวัติศาสตร์

จำเป็นต้องทิ้งระเบิดฮิโรชิม่าและนางาซากิจริงหรือ?

ที่ผ่านมา ผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องประวัติศาสตร์และการเมือง ต่างถกเถียงกันว่าการที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังเมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมจริงหรือ?
1
การทิ้งระเบิดนี้ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โหดร้ายจบลงในที่สุด แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คนอันเป็นผลโดยตรงจากการทิ้งระเบิดในฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488)
9 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) เมื่อมีการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองลงยังเมืองนางาซากิ ก็มีผู้เสียชีวิตกว่า 50,000 คน
ดังนั้น การกระทำของสหรัฐอเมริกานี้ถูกต้องและคุ้มค่าจริงหรือ?
เราลองมาหาคำตอบกันครับ
เริ่มแรก รัฐบาลของประธานาธิบดี “แฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman)” ซึ่งเป็นประธานาธิบดีในช่วงเวลาทิ้งระเบิดลงยังฮิโรชิม่าและนางาซากิ โดยรัฐบาลอเมริกันกล่าวว่าการทิ้งระเบิดลงยังฮิโรชิม่าและนางาซากินั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีความจำเป็นต้องทำเพื่อให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และป้องกันการสูญเสียที่จะมากกว่านี้หากสงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป
1
“เฮนรี สติมสัน (Henry Stimson)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอเมริกันในเวลานั้น ก็ถูกกดดันจากรัฐบาลให้แถลงต่อสื่อมวลชนว่าญี่ปุ่นไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ และยังคงจะสู้ต่อไป ทำให้เกิดการสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ
1
สติมสันได้ให้สัมภาษณ์ในปีค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ว่า การที่ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข เป็นผลมาจากความมุ่งหมายทางด้านการเมือง สังคม และกองทัพของสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488)
เฮนรี สติมสัน (Henry Stimson)
สติมสันยังกล่าวอีกว่า หากไม่มีการทิ้งระเบิด ทหารอเมริกันอีกนับล้านต้องเสียชีวิต รวมทั้งฝั่งญี่ปุ่นเองก็ต้องเสียชีวิตทหารและผู้คนไปอีกไม่น้อย
ซึ่งจากผลสำรวจถึงความคิดเห็นเรื่องการทิ้งระเบิดในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ซึ่งได้ทำการสำรวจในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ก็พบว่าชาวอเมริกันกว่า 84% เห็นด้วยให้ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าชาวอเมริกันจำนวนมากนั้นโกรธแค้นจากเหตุการณ์ “เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)” และเบื่อหน่ายสงคราม อยากให้สงครามจบลงโดยเร็ว
ตัวของประธานาธิบดีทรูแมนเอง ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเขาได้เสียใจต่อการตัดสินใจนี้หรือไม่ หากแต่จากบันทึก ก็พบว่าท่านประธานาธิบดีมีคำสั่งให้ยุติการทิ้งระเบิดลูกที่สามหลังจากนางาซากิ เนื่องจากไม่อยากจะต้องเข่นฆ่าใครอีกแล้ว
เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)
ทางด้านฝั่งญี่ปุ่น นักปรัชญาชาวญี่ปุ่นอย่าง “มาซาฮิโระ โมริโอกะ (Masahiro Morioka)” ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ข้ออ้างของสติมสันนั้นเป็นการมองที่ผลประโยชน์เป็นหลัก มองว่าการทิ้งระเบิดจะทำให้ไม่ต้องสูญเสียมากไปกว่านี้
โมริโอกะได้เขียนบทความ แสดงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณูกับ “ปัญหารถราง (Trolley Problem)”
ปัญหารถราง คือหลักปัญหาในทางปรัชญา เกี่ยวข้องกับศีลธรรม และจริยธรรมในการช่วยชีวิตคน โดยไม่สามารถหาคำตอบที่ตายตัวได้ว่าใครถูกหรือใครผิด
ปัญหานี้จะเป็นการให้ลองคิดว่า เราควรจะสังหารคนหนึ่งคน แลกกับการช่วยให้คนอีกห้าคนรอดชีวิตหรือไม่ด้วยการเปลี่ยนเส้นทางรถราง
1
มาซาฮิโระ โมริโอกะ (Masahiro Morioka)
โมริโอกะได้นำปัญหานี้มาบรรยายให้นักศึกษาในญี่ปุ่นลองขบคิด ปรากฎว่านักศึกษาส่วนใหญ่ต่างเลือกทางเดียวกับทรูแมน คือฆ่าคนจำนวนน้อยเพื่อช่วยชีวิตคนจำนวนมาก
พูดง่ายๆ คือนักศึกษาชาวญี่ปุ่นก็เห็นด้วยกับทรูแมน
1
ในวาระครบรอบ 70 ปีเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณู ก็ได้มีการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเรื่องการทิ้งระเบิด ก็พบว่าถึงแม้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่เห็นด้วยกับการทิ้งระเบิดจะลดลงเมื่อเทียบกับปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) แต่ชาวอเมริกันกว่า 56% ก็ยังคงคิดว่าการทิ้งระเบิดนั้นจำเป็นต้องทำ
แต่เมื่อมาทำแบบสำรวจที่ประเทศญี่ปุ่น กลับพบว่าชาวญี่ปุ่นเพียง 15% เท่านั้นที่เห็นด้วยว่าต้องทิ้งระเบิด
ในปีค.ศ.2016 (พ.ศ.2559) สถานีโทรทัศน์ NHK ได้ทำแบบสำรวจ และพบว่าชาวญี่ปุ่นจำนวน 40% เห็นว่าเหตุการณ์การทิ้งระเบิดนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อีก 49% ก็ได้กล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ตนไม่สามารถให้อภัยได้แม้กระทั่งปัจจุบัน
และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลอีกด้าน ก็อาจจะได้มุมมองที่ต่างออกไป
เมื่อสหภาพโซเวียตเข้าร่วมกับสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ก็มีคนคิดว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูนี้เป็นการข่มสหภาพโซเวียต
ดังนั้น การทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังฮิโรชิม่าและนางาซากิจึงเป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง หากแต่เป็นปฐมบทของสงครามเย็น
แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร สหรัฐอเมริกาก็ยังเป็นเพียงชาติเดียวที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อชาติอื่น
2
และจากข้อมูลนั้น พบว่าบุคลากรในกองทัพและหน่วยงานต่างๆ ของฝ่ายอเมริกันเอง ก็คิดว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
2
ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) “เจมส์ เอฟ. บายร์เนส (James F. Byrnes)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ได้ออกมากล่าวว่า ผู้บัญชาการอเมริกันได้เข้าหารือกับสหภาพโซเวียตเรื่องการเจรจาสันติภาพ และทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก็รู้ดีว่าฝ่ายตนนั้นชนะญี่ปุ่นได้แล้วตั้งแต่ก่อนจะทิ้งระเบิด
หลายคนจึงตั้งทฤษฎีว่ากองทัพอเมริกันได้ทิ้งระเบิดลงยังฮิโรชิม่าและนางาซากิเพื่อแสดงถึงแสนยานุภาพของระเบิดปรมาณู และตอกย้ำสถานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และหลายคนยังคิดไปถึงขนาดว่าสาเหตุที่ทิ้งระเบิดปรมาณู ก็เพื่อแค่จะทดสอบประสิทธิภาพของระเบิดเท่านั้น
1
เจมส์ เอฟ. บายร์เนส (James F. Byrnes)
ในปีค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) จอมพลเรือ “วิลเลียม ฮอลซี จูเนียร์ (William Halsey Jr.)” นายทหารระดับสูงในกองทัพเรืออเมริกัน ยังออกมากล่าวถึงการทิ้งระเบิดปรมาณูนี้ว่า
1
“เป็นการทดลองที่ไม่จำเป็น พวกนักวิทยาศาสตร์ได้ของเล่นใหม่ และก็อยากจะนำไปทดลอง หวยจึงมาออกที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ”
1
แต่สำหรับตัวทรูแมน เขายังเชื่อว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เป็นการยอมเจ็บแต่จบ หากไม่ทิ้งระเบิดปรมาณู ความสูญเสียก็จะยิ่งมากกว่านี้
วิลเลียม ฮอลซี จูเนียร์ (William Halsey Jr.)
ดังนั้นสำหรับเหตุการณ์นี้ คงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันไขได้ คงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าคิดอย่างไร
แล้วคุณล่ะครับ? คิดว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูลงยังฮิโรชิม่าและนางาซากิคือความจำเป็นหรือไม่?
โฆษณา