เมื่อวาน เวลา 11:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำความรู้จัก SIPs แห่งอินเดีย ส่งเสริมคนในประเทศออมเพื่อเกษียณ

ตลาดหุ้นอินเดียคือจุดหมายปลายทางการลงทุนที่หลายคนกำลังให้ความสนใจ ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลาดหุ้นแห่งนี้ก็ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มยานยนต์ สุขภาพ เทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ และการบริโภค ซึ่งปรับตัวขึ้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสัญญาณการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ
การเติบโตของตลาดหุ้นอินเดียมีปัจจัยสำคัญจากประเด็นระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้อินเดียได้เปรียบจากการเป็นทางเลือกในการลงทุนด้านห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในอินเดียยังเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในอีก 24 เดือนข้างหน้า ผลประกอบการจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนจากภายในประเทศจึงเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญของตลาดหุ้นแดนภารตะ และช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งเม็ดเงินลงทุนจากภายในประเทศส่วนใหญ่จะมาจากกองทุน Systematic Investment Plans หรือ SIPs กองทุนหุ้นที่รัฐบาลอินเดียสนับสนุนให้ประชาชนเข้าลงทุนเพื่อเก็บออมเงินสำหรับเกษียณ โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ
การลงทุนผ่านกองทุน SIPs จะมีระบบช่วยลงทุนเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นการหักเงินเข้าลงทุนโดยอัตโนมัติ คล้ายกับการทำ DCA ส่งผลทำให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ช่วยสร้างวินัยการลงทุน และทำให้เงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้น ปัจจุบัน มีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน SIPs เข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งจุดนี้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นอินเดียมากขึ้นไปอีกในอนาคต
ในด้านเศรษฐกิจมหภาค แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อและการขาดดุลจะเป็นปัญหาหลักของอินเดีย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากธนาคารกลางได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนไปสู่นโยบายการเงินที่เป็นกลาง และมุ่งเน้นการจัดการอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ 4% ซึ่งตัวเลขในปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในกรอบดังกล่าว
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดีย มีการเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเกินดุลของภาคบริการ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1% ของ GDP ส่วนการขาดดุลการคลังของรัฐบาลอินเดีย ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงโรคระบาดที่ 9.2% ลงมาเหลือ 5.6% และมีเป้าหมายที่จะลดลงต่ำกว่า 4.5% ภายในเดือนมีนาคม ปี 2026 และในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ค่าเงินรูปีอินเดียมีเสถียรภาพมาตลอด 12 - 24 เดือนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับบรรยากาศทางการเมืองที่มีการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง จากการคว้าชัยชนะเป็นสมัยที่ 3 ของนายนเรนทรา โมดี จากพรรค BJP
แรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งของอินเดีย และการฟื้นตัวของผลผลิตการเกษตร ทำให้ธนาคารโลกปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้ขึ้นเป็น 7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนที่ 6.6% เมื่อนำมาประกอบกับเสถียรภาพภายในประเทศแล้ว ตลาดหุ้นอินเดียจึงเป็นจุดหมายการลงทุนที่หลายคนให้ความสนใจ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีจุดเด่นคือความหลากหลายและใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก โดย BBLAM ขอแนะนำกองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งสามารถเลือกลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 500 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ BBLAM
• โทร. 0 2674 6488 กด 8
• เว็บไซต์ BBLAM
• ลงทุนด้วยตนเองง่าย ๆ ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ หรือแอป BF Fund Trading จาก BBLAM
คำเตือน : การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
#BBLAM #กองทุนบัวหลวง #BFFundTrading #MobileBanking #ธนาคารกรุงเทพ #อินเดีย #หุ้นอินเดีย
โฆษณา