28 พ.ย. เวลา 12:13 • ท่องเที่ยว

แม่ส่วยอู

ผมหิวน้ำมาก ในความรู้สึกเวลานั้น ขณะที่พวกเรากำลังเดินแบกสัมภาระขึ้นเนินตัว S ที่มีความชันขึ้นเรื่อยๆ แต่น้ำในกระติกไม่เหลือแล้ว ด้วยความที่เราต้องการลดน้ำหนักบรรทุกจึงนำติดมาเพียงนิดเดียว และด้วยความที่เรายังไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องกันเลยตั้งแต่สี่โมงเย็น ทำให้ความเหนื่อยล้าเพิ่มเท่าเป็นทวีคูณ
เนินตัว S เป็นเพียงแค่จุดเริ่มของความชันที่เราจะต้องเจอ เมื่อหมู่หนุ่ยเล่าให้ฟังว่า เรายังจะต้องเจอเนินเก้าหลังอีกเนิน ซึ่งจากเนินตัว S ที่เราอยู่ จะไม่มีพื้นที่ราบให้เราเลยจนถึงยอดเขา เป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร
"จากนี้ไปขึ้นเนินยาวๆ เลยนะครับ พยายามเลี้ยงคันเร่งไว้ ถ้าขึ้นไม่ไหวอย่าพยายามฝืน เดี๋ยวจะล้ม ให้ลงเข็นเลยนะครับ" หมู่หนุ่ยบรีฟเส้นทางคร่าวๆ ให้เราฟังล่วงหน้า
เรานั่งพักตรวจสอบสัมภาระตรงสุดเนินตัว S ประมาณ 15 นาที แล้วจึงเดินทางต่อ โดยที่มีหมู่หนุ่ยนำหน้าเหมือนทุกที
เมื่อขับไล่ระดับความชันจนพ้นเนินตัว S ไปได้ประมาณ 500 เมตร ก็พบหมู่หนุ่ยยืนรอ พร้อมตะโกนบอกให้เรารักษาระดับรอบเครื่องยนต์รถเอาไว้ เนื่องจากเรากำลังจะขึ้นเนินเก้าหลัง ซึ่งบริเวณนี้มีการเทถนนคอนกรีต 2 ร่องล้อเอาไว้ประมาณ 200 เมตร แต่........
"หัวหน้าอย่าให้รถดับนะครับ ก่อนพ้นเนินถนนพังเป็นร่องลึก ระวังล้มนะครับ ถ้าจะล้มให้ทิ้งรถเลยอย่าฝืน เดี๋ยวขาจะหัก"
เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ รวมถึงเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ทำให้ผมพอจะจับคีย์เวิร์ดของหมู่หนุ่ยได้ประมาณนี้ ผมจึงขับรถขึ้นไปตามคำแนะนำของหมู่หนุ่ย แต่เมื่อเกือบจะสุดถนนคนอกรีต ผมก็เกือบเสียหลักลงไปในร่องที่ว่าจนได้
"oh shit" ร่องลึกเลยหัวเข่า แถมยังแคบอีก ถ้าหล่นลงไปคงจะถูกรถมอเตอร์ไซค์นี่แหละทับขาหักเอา แต่ยังดีที่ผมเอาปลายเท้าประคองรถจนผ่านร่องบ้านั่นมาได้ เนินเก้าหลังเป็นเนินที่ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ชันมาก แต่เส้นทางก่อนจะมาถึงเป็นเส้นทางที่ไต่ความชันมาเรื่อยๆ ทำให้รถเครื่องยนต์เล็กๆ มักจะประสบปัญหามาดับที่เนินนี้บ่อยๆ เพราะไม่มีแรงส่ง แต่คืนนี้ผมก็รอดมาได้
พอพ้นเนินเก้าหลัง เราก็ยังต้องไต่ความชันกันขึ้นไปอีก แต่โชคดีที่องศาของมันไม่ชันเท่าที่ผ่านมา จนหมู่หนุ่ยพาเรามาถึงสนามเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังป้องกันชายแดน
"ตรงนี้เป็นที่สุดท้ายที่มีสัญญาณแล้วนะครับ จากนี้ลงไปอีก 3 กิโล จะถึงฐานแล้ว"
ผมรีบใช้เวลาเท่าที่มีโทรรายงานไปยังหน่วยเหนือว่าเรากำลังจะจบภารกิจการเคลื่อนย้ายเข้าฐานที่ตั้ง และโทรบอกกับทางบ้านว่าถึงฐานแล้ว ในตอนนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่ม 20 นาที
ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง แต่เราก็ต้องเดินทางกันต่อ จากสนามเฮลิคอปเตอร์ เราเดินทางผ่านด่านตรวจของฐานปฏิบัติการของกองร้อยเครื่องยิงหนักที่กำลังพลส่วนใหญ่ ยังเดินทางมาไม่ถึงที่หมาย น่าจะยังติดหล่มอยู่จุดใดจุดหนึ่งบนเส้นทางบ้าๆ นี้
เส้นทาง 3 กิโลเมตรสุดท้าย ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรามากนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นภูเขาหิน ทำให้ถนนค่อนข้างจะแข็งและแน่น เราจึงได้ขับรถยาวๆ และเป็นทางลงอย่างเดียว
จนเหลือ 1 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ฐานของเรา หมู่หนุ่ยซึ่งขับนำมาตลอดทาง ได้จอดรถรออีกครั้งและแจ้งให้พวกเราทราบว่า "ลงไปก็จะถึงฐานแล้วครับ แต่ถนนลื่นมาก ระวังล้ม" ครึ่งทางของ 1 กิโลเมตรสุดท้าย เป็นถนนคอนกรีตเต็มแผ่น ที่อยู่ภายใต้อุโมงของกิ่งไผ่ และต้นไม้นานาชนิด และแน่นอนว่ามันแทบไม่เจอแสงแดดส่องถึงเลย ทำให้ถนนเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หรือภาษาเหนือเรียกว่าขี้ไคลคู่
พวกเราค่อยไหลรถลงไปทีละคัน ทีละคัน โดนเว้นระยะห่าง เผื่อมีคนลื่นล้ม จะได้ไม่ไปเหยียบใส่กัน เราใช้ทุกสิ่งอย่างที่ใช้ได้เพื่อชะลอความเร็วของรถที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงไปด้านล่าง ทั้งเบรครถ เกียร์ต่ำ และเท้าของเราเอง จนผมหลุดพ้นความอันตรายของขี้ไคลคู่ ก็เข้าสู่ถนนดินอีกครั้ง จนได้มาเจอกับหมู่หนุ่ย และเจ หาญ ที่เดินทางมาถึงก่อน โดยมีจ่าโอกับหยกรั้งท้าย
"ฐานเราอยู่ตรงไหนครับ" ผมถามหมู่หนุ่ยพร้อมกับพยายามมองฝ่าความมืดหาอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนที่อาคารหรือรั้ว
"นั่นไงหัวหน้า เห็นไฟตรงนั้นไง ข้างหน้าเรานี่เอง" หมู่หนุ่ยตอบ พร้อมชี้มือให้ดู แต่ผมก็ยังไม่เห็นอยู่ดี
เกือบ 5 นาที ที่ผมลงมาเจอหมู่หนุ่ยกับพลทหารอีก 2 คน จ่าโอก็ยังลงมาไม่ถึงพวกเรา "ยังไงก็ต้องรอครับหัวหน้า ข้างหน้ายังมีทางแยกอีกทาง เดี๋ยวเลี้ยวผิด ทีนี้ออกไปพม่าเลย"
"งั้นเอางี้ หนุ่ยพาเด็กๆ เข้าฐานก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยวนออกมาพาผมกับที่เหลือเข้าไป เดี๋ยวผมจะรออยู่ตรงนี้"
หลังจากที่เงียบเสียงมอเตอร์ไซค์ของหมู่หนุ่ย เจ และหาญ เสียงของบรรยากาศรอบข้างก็ดังขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นเสียงน้ำฝนกระทบใบไม้ใหญ่ที่อยู่บนหัว และเสียงตัวอะไรต่อมิอะไรที่ดังระงมอยู่ทั่วป่า ซึ่ง ณ เวลานั้นไฟฉายดวงน้อยๆบนหัวของผมก็ไม่สามารถส่องไปได้ไกลเกินสุดแขนตัวเอง
"หมวด หมวด" ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังออกมาจากป่าข้างทาง เสียงเหมือนมีใครพยายามเรียกผม ซึ่งในตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีใครที่เรียกผมด้วยคำนี้ เนื่องจากลูกทีมก็เรียกผมว่าหัวหน้า แถมน้องๆพลทหาร ก็เรียกผมว่าผู้ฝึก แล้วใครกันที่ใช้คำนี้เรียกแทนตัวผม
ในขณะที่ผมกำลังหันมองรอบๆตัวเพื่อหาที่มาของเสียง แสงไฟบนหัวก็ไปกระทบกับป้ายโครงการก่อสร้างเส้นทาง บ้านห้วยเสือเฒ่า - บ้านแม่ส่วยอู พลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว โดยปกติเวลาจะตั้งชื่อสถานที่เขาก็จะตั้งตามจุดเด่นของที่นั้นๆ และแน่นอนว่าห้วยเสือเฒ่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวกับเสือแน่นอน
เมื่อนั้นผมจึงเดินเข้าประชิดกับรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ เพื่ออย่างน้อยผมจะได้มีที่กำบังสักด้าน พร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเตรียมที่จะดึงสไลด์ให้พร้อมใช้งาน แน่นอนสิ่งที่ผมกังวลไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไรเพราะผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมกังวล คือสิ่งที่ผมไม่รู้วิธีรับมือมาก่อนต่างหาก
เสียงเรียกปริศนายังดังต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ จนผมเริ่มตั้งสติและตั้งใจฟังถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เสียงสิ่งแปลกปลอมอะไร แต่คงเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไร จนหมู่หนุ่ยขับรถกลับมาอีกรอบ "จ่าโอยังไม่มาเหรอครับ" เกือบ 10 นาทีแล้วที่จ่า กับหยก ไม่ได้ตามผมลงมา แต่หลังจากที่หมู่หนุ่ยกลับมาถึงได้ไม่นานเราก็มองเห็นแสงไฟที่กำลังลงมาจากเขาทางด้านหลังของเรา
"รถล้มครับหัวหน้า พอดีไปเหยียบใส่ตะไคร่น้ำเข้าก็เลยลื่น"
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ"
"ไม่เป็นไรครับ มีแผลถลอกนิดหน่อย"
หลังจากที่เรามารวมตัวกันครบจึงเริ่มเดินทางต่อไปยังฐานของเรา
ระยะทางจากหน้าหมู่บ้านมาจนถึงฐานไม่ไกลมากนัก แต่หากไม่สังเกตหรือไม่คุ้นเส้นทางอาจจะทำให้หลงได้แบบที่หมู่หนุ่ยได้เตือนเอาไว้ ผมพลิกดูนาฬิกาข้อมือ ในขณะนั้นที่เราเหยียบลงที่ฐาน เป็นเวลาสี่ทุ่ม สี่สิบห้านาที เราใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง ในการเดินทางระยะทาง 9 กิโลกว่าๆ ถือเป็น 9 กิโลที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม
เราเก็บสัมภาระที่แบกกันมาเข้าที่พักของใครของมัน หลังจากนั้นถึงจึงมากินข้าวยังด้วยกันที่กลางฐาน ในเวลานั้นมันเหนื่อยจนไม่มีความหิวอะไรอีกแล้วแต่ก็ต้องฝืนกินเพื่อให้เรามีแรงต่อไปในวันพรุ่งนี้ที่ภารกิจเรายังไม่เสร็จสิ้น
โฆษณา