เมื่อวาน เวลา 10:38 • ดนตรี เพลง

จากบทกวีอันดำมืดสู่ห้วงดนตรี: Edgar Allan Poe ในมิติใหม่ของ The Alan Parsons Project

อัลบั้ม "Tales of Mystery and Imagination" ที่ปล่อยออกมาในปี 1976 ถือเป็นผลงานเปิดตัวที่น่าทึ่งของ "The Alan Parsons Project" และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้ม Concept ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
อัลบั้มนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ "Edgar Allan Poe" นำเสนอเรื่องราวผ่านเสียงเพลงที่ชวนหลอนและเต็มไปด้วยความลึกลับ โดยผสมผสานระหว่าง Progressive Rock การเรียบเรียงวงออร์เคสตรา และเทคนิคการผลิตที่ล้ำสมัย ทำให้อัลบั้มนี้สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความลึกซึ้งของวรรณกรรมต้นฉบับได้อย่างยอดเยี่ยม
Edgar Allan Poe
อัลบั้มเปิดตัวด้วย "A Dream Within A Dream" แรงบันดาลใจจากบทกวีของ Poe ที่มีชื่อเดียวกัน เพลงอินโทรเปิดตัวนี้สร้างบรรยากาศด้วยเสียงดนตรีที่ชวนฝันและเอฟเฟกต์เสียงที่น่าหลงใหล เพลงนี้สะท้อนถึงธรรมชาติที่ไม่แน่นอนของความจริงและความเปราะบางของชีวิต ความตึงเครียดที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในเพลงสะท้อนคำถามเชิงปรัชญาของบทกวีที่ว่า "สิ่งที่เราเห็นและสัมผัส เป็นเพียงความฝันในความฝันอีกทีเท่านั้นหรือ?" ทำให้เพลงนี้สามารถดึงผู้ฟังเข้าสู่ความลี้ลับและโลกแห่งความฝันตั้งแต่เริ่มต้นอัลบั้มเลย
ก่อนดำดิ่งสู่อารมณ์อันดำมืดไปกับ "The Raven" หนึ่งในเพลงที่โดดเด่นที่สุดของอัลบั้ม ที่มีการใช้เทคโนโลยีสังเคราะห์เสียงอย่าง Vocoder ที่ล้ำสมัยในยุคนั้นเพื่อสร้างเสียงร้องที่ฟังดูเหมือนเครื่องจักร ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกหลอนให้กับเพลง เนื้อเพลงสะท้อนถึงบทกวีที่โด่งดังที่สุดของ Poe ถ่ายทอดความเศร้าโศกและความหมกมุ่นของตัวละครที่สูญเสีย "Lenore" หญิงสาวคนรักของตน
ท่วงทำนองและจังหวะที่หนักแน่นในเพลงสื่อถึงความสิ้นหวังและความลึกลับที่แฝงอยู่ในวลีสำคัญของบทกวี "Quoth the Raven, Nevermore" ที่แสดงถึงความสำคัญของความทรงจำทั้งดีและร้าย ซึ่งอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้เช่นกัน โดย "The Raven" (กาเรเวน) เปรียบเสมือนความทุกข์ของเจ้าของความทรงจำที่แปรเปลี่ยนนั้นนั่นเอง
ต่อด้วยบทเพลงอันดับสาม "The Tell-Tale Heart" เพลงร็อกที่ดราม่าชวนติดตามนี้เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากบทกวีชื่อเดียวกันของ Poe ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสียงร้องที่ทรงพลังของ "Arthur Brown" ถ่ายทอดความวิตกจริตและความผิดบาปของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม จังหวะที่เร่งเร้าและไดนามิกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลียนแบบ "เสียงหัวใจ" ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องราวได้อย่างลงตัว
จุดพีคของเพลงคือการระเบิดของอารมณ์ที่สะท้อนถึงการสารภาพบาปของตัวละครในตอนจบ สะท้อนถึงแก่นหลักของบทเพลงผ่านวลี "Murder is likely to come to light" แม้ว่าความผิดที่ทำไว้จะถูกปกปิดไว้อย่างดี แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดในใจไปได้ตลอดชีวิต
หรือเพลงอย่าง "The Cask of Amontillado" ที่ถ่ายทอดบรรยากาศอันมืดมนและชั่วร้ายของการล้างแค้นได้อย่างยอดเยี่ยม ดนตรีที่สลับระหว่างท่วงทำนองที่ลื่นไหลและสง่างาม (แทนการล่อลวงของ Montresor) กับส่วนที่มืดมนและหนักแน่น (แทนชะตากรรมของ Fortunato) การใช้เสียงคอรัสช่วยเสริมความยิ่งใหญ่และความเย็นชาที่สะท้อนถึงบรรยากาศของสุสานใต้ดินผ่านวลี "For the love of God, Montresor!" ให้กลายเป็นช่วงที่ชวนขนลุกที่สุดของเพลง
บทเพลงแสดงให้เห็นว่าการแก้แค้นของ Montresor ที่มีต่อ Fortunato นั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ครอบงำตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ จนบดบังความรู้สึกเดิมและนำไปสู่ความบ้าคลั่งกับความชั่วร้ายที่แท้จริงได้อย่างไร
"(The System of) Dr. Tarr and Professor Fether" นำเสนอโทนที่เบาและขี้เล่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้ม แต่ยังคงสะท้อนถึงเนื้อหาที่เสียดสีวิธีการรักษาคนไข้ของจิตแพทย์ช่วงศตวรรษที่ 19 ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้อย่างครบถ้วน แม้จะมีจังหวะที่ติดหูและทำนองที่สดใส แต่เนื้อเพลงก็ยังแฝงความบ้าคลั่งและความแปลกประหลาดเอาไว้ เพลงนี้ถือเป็นช่วงเวลาสนุกสนานและผ่อนคลายของอัลบั้ม ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ Poe ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ก่อนจะกลับมาดื่มด่ำกับหายนะต่อใน "The Fall of the House of Usher" บทเพลง Instrumental Suite สำคัญของอัลบั้ม ประกอบด้วยชุดเพลงบรรเลง 5 ชิ้นที่เล่าเรื่องราวของมหากาพย์เรื่องสั้นนี้ได้อย่างน่าทึ่ง:
Prelude: การเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่นด้วยเครื่องสายและ Percussion ที่หนักแน่น บ่งบอกถึงโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเรื่องสั้นเรื่องนี้
Arrival: ท่วงทำนองที่สร้างบรรยากาศแห่งความไม่สบายใจและกระอักกระอ่วน สื่อถึงการมาถึงคฤหาสน์ Usher และเรื่องราวเลวร้ายที่กำลังจะตามมา
Intermezzo: ช่วงเวลาที่เงียบสงบแต่แฝงด้วยความเยือกเย็น สื่อถึงการเสื่อมสลายจากภายในของคฤหาสน์และผู้ที่มีชะตากรรมเกี่ยวข้องกับที่นี่
Pavane: ดนตรีที่เศร้าหมองและเปราะบาง แทนความอ่อนแอของ "Madeline Usher" ฝาแฝดครอบครัว Usher เจ้าของแห่งคฤหาสน์ที่ทุกข์ทรมานจากอาการป่วยปริศนา
Fall: การระเบิดของเสียงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ สื่อถึงการพังทลายลงของคฤหาสน์และการล่มสลายของตระกูล Usher เจ้าของคฤหาสน์ในตอนจบ
แต่ละช่วงของเพลงชุดนี้ถ่ายทอดความมืดมนและความหายนะของเรื่องราวต้นฉบับจาก Poe ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หนังสือ Tales of Mystery & Imagination เวอร์ชัน First Edition ปี 1919 ของ Edgar Allan Poe
และสุดท้ายกับเพลงปิดอัลบั้มอย่าง "To One in Paradise" บทเพลงที่แสนเศร้าสร้อยและงดงาม ได้รับแรงบันดาลใจจากบทกวีชื่อเดียวกันของ Poe ท่วงทำนองที่อ่อนโยนและเนื้อร้องที่ลึกซึ้งสะท้อนถึงความโหยหาและการสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต การเรียบเรียงดนตรีและเสียงประสานช่วยเพิ่มความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเพลงนี้ จังหวะที่ช้าลงแต่นุ่มลึกมากขึ้น ช่วยสร้างดนตรีที่เป็นดั่งบทสรุปอันสมบูรณ์แบบ สำหรับอัลบั้มที่ผ่านทั้งความมืดมน การล้างแค้น ความบ้าคลั่ง และหายนะมาตลอดนี้ได้อย่างไร้ที่ติ
จุดเด่นของ "Tales of Mystery and Imagination" คือการนำธีมหลักในผลงานของ Poe อย่างความตาย ความวิกลจริต ความรู้สึกผิด และเรื่องเหนือธรรมชาติมานำเสนอในรูปแบบที่ดึงดูดใจ เพลงแต่ละเพลงเล่าเรื่องด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างลื่นไหล สอดคล้องกับความซับซ้อนในเนื้อหาและอารมณ์ของ Poe
Eric Woolfson และ Alan Parsons สองสมาชิกผู้ก่อตั้งวงคนสำคัญของ The Project
อัลบั้มนี้จึงถือเป็นหนึ่งในอัลบั้ม Concept ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยนำวรรณกรรมและดนตรีมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว มันไม่เพียงแต่ยกย่องผลงานของ "Edgar Allan Poe" แต่ยังแสดงถึงศักยภาพของ Progressive Rock ในการเล่าเรื่องอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวรรณกรรม ดนตรีที่มีชั้นเชิง และการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง อัลบั้มนี้คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด มันคือบทพิสูจน์ถึงพลังของศิลปะในการสร้างสรรค์และเชื่อมโยงข้ามศาสตร์ต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์
Cr. AllMusic / TheMomentum
(The System of) Doctor Tarr & Professor Fether
---
โฆษณา