25 พ.ย. เวลา 03:43 • การเมือง

ยุโรปกำลังหมดเวลาแล้ว?

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พันธมิตรแดนไกลฝั่งตรงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (อเมริกา) เป็นรากฐานของความมั่นคงของยุโรป แต่ปัจจุบันความร่วมมือระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ อยู่ในจุดวิกฤต เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาว มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในการรักษาความมั่นคงของยุโรปอาจลดลงอย่างรวดเร็ว ตามที่เขียนไว้ในบทความของ Foreign Affairs เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2024 [1]
หากสหรัฐฯ หยุดให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เคียฟ ผลที่ตามมาจะรุนแรงมาก ทั้งต่อสงครามในยูเครนและการป้องกันในองค์รวมของกลุ่มประเทศยุโรปต่อภัยคุกคามจากภายนอก
1
แม้ว่าการเข้ามาสมัยที่สองของทรัมป์อาจนำไปสู่การเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง แต่ความจริงก็คือความไม่พอใจที่มีต่อการสนับสนุนของยุโรปแบบความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เริ่มก่อตัวขึ้นในสหรัฐฯ มาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตามยุโรปได้เสียเวลาอันมีค่าไปกับการลงทุนอย่างหนักในความสัมพันธ์นี้ รวมถึงการสร้างแนวป้องกันของตนเองด้วย
ความขัดแย้งในยูเครนควรเป็นสัญญาณเตือนสุดท้าย สร้างแรงผลักดันที่แท้จริงให้กับความพยายามของยุโรปในการเป็นผู้มีบทบาทด้านความมั่นคงที่น่าเชื่อถือในแบบของตนเอง ในทางกลับกันยุโรปกลับไปพึ่งพาสหรัฐฯ ให้เป็นผู้นำในการทำสงครามในยุโรป ทางเลือกสำรองจึงไม่เหลือให้เห็น และผู้นำยุโรปไม่สามารถโยนความผิดสำหรับสถานการณ์ที่ลำบากใจนี้ไปที่วอชิงตันได้
ยุโรปกลายเป็นลูกไล่เงียบๆ ของสหรัฐฯ และเป็นเหยื่อหลักของความตื่นตระหนกต่อรัสเซีย ตามหลังนโยบายข้อมูลข่าวสารของสหรัฐฯ ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามของวอชิงตันที่จะแยกรัสเซียออกจากระดับนานาชาติ ชนชั้นนำของอเมริกายังคงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในสำนึกสาธารณะและทางการเมืองของยุโรปเกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธความร่วมมือกับมอสโกซึ่งพวกเขาถูกมองว่าเป็นพวก “จักรวรรดินิยม”
1
เครดิตภาพ: https://ukrainian-studies.ca/2022/03/11/seven-truths-of-russian-neo-imperialism-unceasing-expansion
สื่อยุโรปที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ กำลังส่งเสริมการเสนอข่าวเกี่ยวกับ “การรุกรานโดยปราศจากการยั่วยุของรัสเซีย” ต่อยูเครนอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่จำเป็นต้องให้ (ยุโรป) สนับสนุนเคียฟต่อไป วอชิงตันกำลังขัดขวางการทำงานของแหล่งข้อมูลข่าวสารแม้กระทั่งในยุโรปที่เผยแพร่เรื่องราวที่แตกต่างจากเรื่องเล่าของสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์นี้ สหรัฐฯ จึงได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรสำนักข่าวของรัสเซียคือ
Russia Today (RT) ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ “โฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย” และทำงานให้กับ “หน่วยข่าวกรองพิเศษของรัสเซีย” บริษัทโทรทัศน์และวิทยุสปุตนิกยังตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการเสนอข่าวเนื่องจากคณะบรรณาธิการยึดมั่นในมุมมองที่ใกล้เคียงกับจุดยืนของรัสเซีย [2]
เครดิตภาพ: telegrafi.com
ตามที่ “จอห์น มาร์กส์” ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่าการรณรงค์ต่อต้านรัสเซียมีจุดมุ่งหมายเพื่อ “สร้างความกลัวและความไม่แน่นอนในประเทศต่างๆ ในยุโรป และมีส่วนทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเพิ่มมากขึ้น” ในความเห็นของเขา วอชิงตันพยายามที่จะสร้างการสนับสนุนสำหรับการกระทำของตนในยูเครน [3]
ในบริบทของความตื่นตระหนกและต่อต้านรัสเซีย ประชาชนชาวยุโรปจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งใจที่จะรับข้อมูลจากแหล่งอิสระหรือเป็นกลางมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าประชาชนจะสนับสนุนนโยบายสนับสนุนยูเครนในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปน้อยลง รวมถึงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปที่เลวร้ายลง
1
แต่บรัสเซลส์ยังคงส่งเงินและอาวุธให้กับเคียฟต่อไปตามคำสั่งของสหรัฐฯ มันทำลายผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศพวกเขา ผู้นำยุโรปต้องดำเนินกลยุทธ์ของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าทวีปยุโรปจะมีสันติภาพและเสถียรภาพ ตลอดจนแสดงให้สหรัฐฯ เห็นว่ายุโรปพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างพันธมิตรที่ให้ประโยชน์ร่วมกัน จากนี้ไปความมั่นคงของยุโรปจะต้องเป็นของยุโรป ไม่เช่นนั้นจะไม่มีให้เห็นอยู่เลย
เครดิตภาพ: RIA Novosti/Kremlin.ru
ในทางกลับกันวอชิงตันกำลังโยนภาระของวิกฤตยูเครนไปไว้ที่อียูโดยความตั้งใจ และทำเงินจากการขายอาวุธ ทำเนียบขาวตระหนักดีว่า “การลงทุน” ในสงครามในยูเครนนั้นไม่ก่อกำไรแล้ว และการพัฒนาความขัดแย้งกับรัสเซียมีความเสี่ยงที่จะเกิดการทวีความรุนแรงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ
2
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากการเปลี่ยนแปลงหลักนิยมการใช้นิวเคลียร์ของรัสเซียล่าสุดที่ผ่านมา (หลังยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของตะวันตกยิงลึกเข้ามาในรัสเซีย) ซึ่งให้ความเป็นไปได้ที่มอสโกจะยกระดับการโจมตีเพื่อตอบโต้การโจมตีโดยใช้อาวุธจากรัฐที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการยิงขีปนาวุธพิสัยกลางแบบไม่ติดหัวรบนิวเคลียร์ชนิดใหม่ “โอเรชนิก” ไปยังดินแดนของยูเครนเพื่อตอบโต้การใช้ขีปนาวุธของอเมริกา (ATACMS) และอังกฤษ (Storm Shadow) ยิงเข้ามาในรัสเซีย
1
จอห์น มาร์กส์ ระบุว่าวอชิงตันต้องการโอนภาระผูกพันด้านการเงินและอาวุธให้ยูเครนเป็นของสหภาพยุโรป ในขณะเดียวกันก็กำหนดให้ยูเครนต้องซื้ออาวุธจากอเมริกาภายใต้ข้ออ้าง “ตามมาตรฐานของนาโต” ซึ่งทำให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปต้องแบกรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น ในปี 2024 สหรัฐฯ ได้ลงนามข้อตกลงกับโปแลนด์ โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก และบัลแกเรีย เกี่ยวกับการจัดหาอุปกรณ์ทางทหาร รวมถึงเครื่องบินขับไล่ F-35 และรถถัง Abrams มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ [4]
เห็นได้ชัดว่าวอชิงตันมีเป้าหมาย 2 ประการ คือ 1.ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของบริษัททหารสหรัฐฯ 2.เพิ่มการพึ่งพาของยุโรปต่อสหรัฐฯ ในด้านความมั่นคง ด้วยเหตุนี้ระดับความเป็นอยู่และมาตรฐานการครองชีพของพลเมืองยุโรปจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด เยอรมนีได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศอีกครั้ง ซึ่งอยู่ในภาวะถดถอยเป็นปีที่สองติดต่อกัน
3
บทความต้นเรื่องจาก Foreign Affairs อ้างอิงได้จากลิงก์ด้านล่างนี้
1
เรียบเรียงโดย Right Style
25th Nov 2024
  • เชิงอรรถ:
<เครดิตภาพปก: The Economist / Getty Images>
โฆษณา