25 พ.ย. เวลา 10:59 • ดนตรี เพลง

เล่าวีรกรรม : บิดคมๆ กับเงิน 20 ล้านดอลลาร์จากค่ายดัง ของ Frank Ocean

ระยะเวลาในการอ่าน : 7-8 นาที
Frank Ocean ศิลปินสูญหายในปัจจุบัน (ไม่ขนาดนั้น เพียงแค่ไม่ปล่อยเพลงเฉยๆ) ที่ไม่ได้ปล่อยผลงานเพลงลง Streaming Platforms ตั้งแต่เมษายน 2020 ถึงแม้เจ้าตัวจะมีการอัพเดตอยู่บ้าง ว่ายังไม่หายไปไหน มีการลงสตอรี่ให้หายคิดถึง แต่ทั้งแฟนคลับและนักวิจารณ์ทั้งหลาย ต่างรอคอยการกลับมาของหนุ่มอัลเตอร์ RnB คนนี้เสมอ
เมื่อนับไป 1 ทศวรรษ Frank มีเพียง 2 อัลบั้ม และ Single อีกนิดหน่อยที่ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการในช่องทางต่างๆ ถ้าเทียบกับศิลปิน Mainstream คนอื่นๆ ที่มักจะปล่อยอัลบั้มทุกๆ 1-2 ปี และมีเพลงประปรายภายในปี สามารถพูดได้ว่า Frank มีผลงานที่ค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว แต่การที่ผลงานนั้น เต็มไปด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็ยังเป็นจุดแข็งที่ทำให้ทุกคนยังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ทุกเวลา ไม่ต่างจาก Rihanna ที่ 8 ปีแล้วยังไร้ผลงาน แต่ยังคงมียอดผู้ฟังที่สูง
(No Single for Music แต่ไม่ Single ในชีวิตจริง)
36.3 ล้านคือจำนวนผู้ฟังต่อเดือนใน Spotify และเป็นอันดับที่ 102 ของโลก และล่าสุดเพลง Pink + White ที่ครบ 1 พันล้านสตรีมเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังคงไร้วี่แววของผลงานมา 4 ปีครึ่ง คือข้อพิสูจน์ที่แสดงถึงคนที่ยังคงติดตาม Frank อยู่เสมอ
อัลบั้มล่าสุดที่ Frank ปล่อยคือ "Blonde" อัลบั้มที่ทำให้ผู้ฟังร้องไห้มาแล้วหลายราย (รวมถึงผมด้วย) และทำยอดขายถล่มทลายให้กับตัว Frank เอง และเป็นอัลบั้มที่ผู้ฟังยกให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาล ติด Top 10 อัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาลของ Apple Music ซึ่งรวมทุกแนวเพลง ที่ตัดสินโดย Pharrell Williams และคนอื่นๆ
แต่น้อยคนจะทันหรือรู้ว่า วันก่อนที่อัลบั้มนี้จะถูกปล่อยออกมา มีอีกอัลบั้มที่ Frank ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้...
19 สิงหาคม 2016 "Endless" คือ Visual Album หรืออัลบั้มที่เป็นวิดีโอ มีความยาว 45 นาที ปล่อยออกมาก่อน Blonde เพียง 1 วัน แต่การที่ปล่อยออกมาในฐานะ Apple Music Exclusive นั่นหมายความว่า ต้องเสียค่าสมาชิก Apple Music เพื่อที่จะสามารถรับชมได้ นั่นทำให้ผู้ฟังบางคนอาจจะไม่รู้จักอัลบั้มนี้มากนัก
แต่ก็จะมีน้อยคนอีกที่รู้ว่า ทั้ง 2 อัลบั้มนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Frank เลือกที่จะเริ่มถอยห่างออกจากอุตสาหกรรมเพลง
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก)
Title : "How Frank Ocean Finessed Def Jam Out of $20,000,000"
ย้อนกลับไปในปี 2018 A$AP ROCKY ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุ เกี่ยวกับเรื่องที่ Frank ไม่ค่อยจะให้สัมภาษณ์ใครที่ไหนเลยว่า
Frank นี่ไม่คิดจะให้สัมภาษณ์ที่ไหนเลย Frank นี่ฉลาดมากๆ เลย เขาไม่ได้ปล่อยอัลบั้มมาเป็นปีละ เพราะด้วยการที่เขามีสัญญา (ถ้าปล่อยอัลบั้ม จะได้รับ 20 ล้าน) เขาก็เลยหาทางที่จะเอาเงิน 20 ล้านจาก Lucien เพียงแค่ปล่อยอัลบั้มปลอมๆ ออกไป และจบดีล ม้วนเดียบจบ คุณเห็นไหมว่าอุตสาหกรรมเพลงมันน่าอับอายแค่ไหน? เหมือนพวกเขากำลังฟาดแส้ให้ศิลปินทำงานเลย แม่งเยี่ยงทาสชัดๆ
Frank คิดวิธีหลอกอุตสาหกรรมเพลงออก และผู้คนก็ไม่เคยมีใครพูดถึงหรือทำมัน
Frank ใช้เวลา 2 ปีในการทำ และในที่สุด Blonde ทำให้เขาได้รับเช็คเงินจำนวน 20 ล้านดอลลาร์จาก Apple แถมเขาไม่ต้องแบ่งเงินให้กับค่ายเก่า เพราะ Frank เลือกที่จะเดินออกมา นับตั้งแต่วันที่ปล่อย Endless
A$AP ROCKY ใน Power 105.1, The Angie Martinez Show
(ช่วงนาทีที่ 24 ถึง 25)
เรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี 2009 Frank ได้พบกับ "Tricky" Producer ที่ทำเพลงดังๆ มามากมาย เช่น Single Lady - Beyonce, Umbrella - Rihanna และ Baby - Justin Bieber เป็นต้น และเขาก็ได้ดึง Frank ไปร่วมทำงานเขียนเนื้อเพลง และเขียนให้ศิลปินดังๆ มากมาย เช่น John Legend, Beyonce และสุดท้ายก็ได้เซ็นสัญญากับ “Def Jam” ที่เปิดเผยในภายหลังว่า ตัว Tricky เองที่ไปดึง Frank ให้มาเซ็นอยู่ในค่าย แต่หลังจากนั้น Frank ก็รู้สึกเหมือนโดนค่ายทอดทิ้ง เหมือนให้เซ็นเฉยๆ แล้วก็ถูกดองไว้ และการบิดครั้งแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ย้อนไปในปี 2011 สมัยยังอยู่กับกลุ่มเพื่อน "Odd Future" สมัยที่ OF ยังปล่อย Mixtape ใต้ดิน ซึ่งทำให้คนในกลุ่มเริ่มเป็นที่รู้จัก และเริ่มปล่อยผลงานเดี่ยวกันออกมา เช่น Tyler, The Creator ที่ปล่อย “Goblin” ออกมา Frank เลยตัดสินใจปล่อย Solo Mixtape "Nostalgia Ultra" ออกมา และอัลบั้มก็เริ่มดังในกลุ่มคนฟังเพลงใต้ดิน
แต่การที่อัลบั้มไม่ค่อยมีการโปรโมทมากนัก ทางค่ายเลยสนใจที่จะเอา Mixtape นี้ มาโฆษณาบนดิน (ทางการค้า, เอาเงิน) โดยเริ่มปล่อย 2 Singles จาก Mixtape คือ "Novacane" และ "Swim Good" ที่สุดท้ายทั้งสองเพลงก็ติดชาร์ททั้งคู่ แต่ค่ายก็ไม่สามารถดันทั้งอัลบั้มขึ้นมาได้ ด้วยปัญหาที่ Classic ของวงการเพลง คือ "Sample Clearance" ซึ่งในอัลบั้มนี้ คือ ไป Cover เพลง Strawberry Swing ของ Coldplay, แต่งเนื้อเพลงใหม่ แต่ใช้ดนตรีเพลง Hotel California ของ The Eagles ซึ่งขอเคลียร์เพื่อที่จะใช้อย่างถูกกฎหมายไม่ได้
แต่อย่างน้อย Def Jam ก็เห็นถึงความสามารถของหนุ่มคนนี้ Frank ได้รับข้อเสนอหลักล้านดอลลาร์กับอิสระในการทำเพลงในอัลบั้มเปิดตัว Frank ใช้เวลาเขียนเพลงทั้งอัลบั้มเพียง 3 สัปดาห์ อาจจะอ่านแล้วดูทำแบบลวกๆ แต่นั่นคือที่มาของ "Channel Orange"
และอัลบั้มนี้ ทำให้ตัว Frank เองได้มีผลงานที่ติดชาร์ท อัลบ้้มเปิดตัวอันดับ 2 ใน Billboard และที่สำคัญที่สุดคือ ได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Urban Contemporary Album
Short Fact : ในช่วงเดือนมกราคม 2013 หรือก่อนหน้างาน Grammy ในปีนั้น Chris Brown มีปัญหากับ Frank และทำให้เกิดการทำร้ายร่างกายกัน และปีนั้น Chris Brown ก็เข้าชิงรางวัลเดียวกันนี้ด้วย และสุดท้าย Frank ได้ไป Breezy เลยเลือกที่จะไม่แสดงความยินดีกับ Frank
หลังจากงานในวันนั้น Frank ก็ประกาศว่ากำลังทำอัลบั้มต่อไป มีการปล่อยเพลงให้ Converse ปล่อย Snippet ประปราย
แต่สุดท้ายก็หายยาวๆ จนไปโผล่อีกทีก็อัลบั้มลุงเย่เลย "The Life of Pablo" ในเพลง “Wolves” ที่หลังจากนั้นถูกแยกไปเป็น “Frank's Track” ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016
จนในช่วงสิงหาคม 2016 ทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้น ในช่วงตี 3 ที่อเมริกา สตรีมการถ่ายทอดสดของ Frank ที่กำลังทำงานไม้อยู่ในโกดัง ถูกโพสลงใน Website ของ Frank เอง พร้อมโลโก้ Apple และ Background Music ที่จะนำไปสู่อัลบั้มใหม่
140 ชั่วโมงของการสตรีมสร้างบันไดของ Frank และเมื่อ สตรีมใกล้จะจบ ก็มีดนตรีโผล่ขึ้นมา ซึ่งนั่นคืออัลบั้มใหม่ของ Frank ภายใต้ชื่อ "Endless" และถูกตัดออกมาในรูปแบบ 45 นาทีในภายหลังบน Apple Music
(แนะนำให้ไปฟังใน Apple Music นะครับ ไม่ใช่ช่องทางอื่น)
และต่อจากนี้ คือ Move สุดท้ายในเกม 7 ปีระหว่าง Frank Ocean กับ Def Jam
Frank ได้จัดตั้งทีมของเขา เขาได้จ้างทนายและฝ่ายจัดการของเขาขึ้นมา เพื่อจะคุยเรื่องการจ่ายเงิน 2 ล้านดอลลาร์ให้ Def Jam ที่จะทำให้ Frank มีสิทธิในการเป็นเจ้าของผลงานของตัวเองทั้งหมด และสุดท้าย Frank ก็ออกจากค่าย เป็นระยะเวลา 7 ปีที่อยู่กับค่าย
หลังจากนั้น การบิดคมๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเพลงก็เกิดขึ้น
วันต่อมา Frank Ocean ได้ปล่อยนิตยสาร "Boys Don't Cry" ออกมาขาย และปล่อย Music Video เพลง "Nikes" ออกมา ซึ่งเพลงนี้ไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม Endless แต่เพลงนี้จะนำพาไปสู่อัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า "Blonde" ที่จะปล่อยออกมาในวันนั้น
อย่าลืมว่า Frank ได้ออกจากค่าย Def Jam มาแล้ว ทำให้อัลบั้ม “Blonde” นี้ ถูกปล่อยในฐานะ “ศิลปินอิสระ” ไม่มีพันธะเกี่ยวพันกับค่าย และสิ่งสุดท้ายที่ Def Jam ได้จาก Frank คือ "อัลบั้มปลอมๆ" อย่างที่ Rocky ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งอัลบั้มปลอมๆนี้ ก็ยิ่งทำให้แฟนๆมุ่งไปหา "อัลบั้มจริง" อย่าง Blonde ทำให้ Frank กินเต็มคนเดียวทั้งสองอัลบั้มนี้ และรวมไปถึงผลงานที่ได้ปล่อยออกมาในระหว่างที่ยังอยู่ในค่ายด้วย เพราะด้วยเงิน 2 ล้านดอลลาร์ที่แลกสิทธิในการเป็นเจ้าของผลงานตัวเอง
สุดท้าย Blonde ประสบความสำเร็จอย่างมาก เปิดตัวอันดับ 1 ใน Billboard Top 200 เปิดตัวสูงสุดอันดับ 3 ณ ปีนั้น และกำไรที่มาถึงตัว Frank ยังมากขึ้นอีกด้วย ต่างจากตอนที่ยังอยู่ในค่ายถึง 3.5-5.5 ดอลลาร์ต่ออัลบั้มเลยทีเดียว ให้เห็นภาพ Endless สร้างกำไรให้แค่ 157,000 ดอลลาร์ แต่ Blonde ทำกำไรให้ Frank มากถึง 2 ล้านดอลลาร์ (ณ ขณะนั้น)
และหลังจากการบิดคมๆ ในครั้งนั้น Lucien Grainge ประธานบริษัทของ Universal Music Group (UMG) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Def Jam ประกาศว่า “จะไม่ให้ศิลปินรับข้อเสนอพิเศษจาก Streaming Services อีกต่อไป” หลังจากกรณีของ Frank ที่เกิดขึ้น
แต่เงิน 20 ล้านดอลลาร์เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ที่เอามาเปรียบเทียบกับสถิติเก่าเท่านั้น เพราะมี Drake และ Chance The Rapper ที่เลือกปฏิเสธเงินจำนวน 20 ล้านนี้จาก Apple เหมือนกัน…
End Credit :
นับตั้งแต่ตอนนั้น Frank ได้เงิน 20 ล้านแล้ว ผมเดาว่าคุณไม่รู้แน่ว่าเขามีรถ BMW แพงๆแล้ว และนั่นทำให้ผมมีแรงบันดาลใจในการไปเป็น Sponsor ให้กับ Benz และตอนนี้ผมก็กลายเป็น Sponsor ให้กับ Benz แล้ว ทำหลายอย่างเลย ทั้ง Collabs ช่วยออกแบบรถ และช่วยโฆษณารถ เอารถไว้บนเวทีตอนผมแสดง เขาทำให้ผมมีแรงบันดาลใจทำอย่างนั้น
A$AP ROCKY ใน Power 105.1 จากรายการ The Angie Martinez Show
แหม่ มีแรงบันดาลใจให้ไม่ทำเพลงซะอย่างนั้น ไปทำอย่างอื่น Don't Be Dumb พี่เนี่ย เมื่อไรจะปล่อย บิดคมๆไปแล้วรอบนึง เพราะไอปัญหา Sample Clearance นี่เป็นทุกคนเลย
ผมสนับสนุนการใช้ Sample นะครับ ผมจะ Biased เป็นพิเศษ แต่อย่าลืมขอใช้กันให้ถูกกฎหมายด้วยนะครับ ถ้าจะใช้เพื่อหาเงิน ก่อนที่จะโดนลิขสิทธิ์เล่นงาน :)
ป้ายยาก่อนลา :
translate & write : net
somethingtorapabout, peace out ✌️
โฆษณา